พาลูก 3 ขวบเที่ยวสิงคโปร์

วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องพาเด็ก 3 ขวบไปเทียวสิงคโปร์ครับ เป็นเรื่องที่อยากจะมาเขียนมากๆ อีกเรื่องหนึ่งเพราะเป็นประเทศที่เทียวง่ายจริงๆ เหมาะกับพาลูกออกนอกประเทศครั้งแรกๆ มากเช่นกันครับ โดยรอบนี้จะมาอธิบายแบบละเอียดยิบเหมือนทริปไปญี่ปุ่นแน่นอนครับ ใครยังไม่ได้อ่านลองเข้าไปดูได้นะครับที่นี้เลย มาเริ่มกันเลย หากอ่านบทความที่ผมพาลูกไปเทียวญี่ปุ่นมาก็จะรู้ว่าผมมาประเทศนี้รอบที่ 3 ครับ (2 รอบแรกไปเปลี่ยนเส้นทางบินเพื่อไป-กลับจากญี่ปุ่น) จากตอนนั้นทำให้ได้เห็นประเทศนี้จากที่เคยคิดว่าไม่ค่อยมีอะไรมากนอกจากตึกเหมือนกรุงเทพก็เปลี่ยนความคิดไป ว่าเป็นไปได้อยากมาเทียวจริงๆ จังๆ จังครั้งเพราะเห็นว่ามันแปลกตาและน่าท่องเที่ยวมากๆ หลังจากนั้นก็ได้มาเทียวประเทศนี้ในภายใน 1 ปีเลยเนื่องจากโปรโมชั่นจากสายการบินและโอกาศต่างๆ ที่เอื้ออำนวย ซึ่งผมก็จะได้แยกหัวข้อเป็นข้อมูลเพื่อให้รายละเอียดที่ครบเผื่อไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านใดอยากพาลูกๆ ไปกันครับ

จำนวนวันที่เทียว
วันที่เทียวในประเทศสิงค์โปร์นั้นจริงๆ เทียวไม่กี่วันก็ค่อนข้างครบแล้วครับสำหรับสถานที่ของเด็กๆ ซึ่งถ้าให้แนะนำวันไม่เอาแน่นเกินไปก็สัก 4 คืนก็ถือว่าเทียวแบบสบายๆ ได้ครับ หรืออยากอัดทริปก็ได้เช่นกัน 2 คืนก็ยังได้เลยครับ แต่เราจะเหนื่อยหน่อยเพราะเราต้องตั้งเวลาตื่นนอนและเวลาหลับให้ดีครับ เพราะที่ประเทศนี้เหมาะแก่การเทียวตอนค่ำๆ หรือกลางคืนซึ่งเวลานอนของเด็กต้องนอนดึกเลย

สายการบินที่นั่ง

อาหารบนเครื่อง Silk Air
อาหารบนเครื่อง Silk Air

รอบนี้ผมบินของสายการบิน Silk Air จากเชียงใหม่ – สิงคโปร์ค่อนข้างสะดวกสำหรับผมมากกว่าการไปต่อเครื่องที่กรุงเทพมากทีเดียว โดยที่นั่งก็กว้างดี มีข้าว 1 อย่างโดยมีอาหารสำหรับเด็กด้วยนะครับและมีเครื่องดืมให้เราทานได้ฟรีตลอดครับ เวลานั่งเครื่องก็ประมาณ 3 ชม. ได้ ตอน Landding ก็จะใช้เวลานานนิดหนึ่งครับประมาณ 20 นาทีได้เลย เพราะเฉพาะนั้นต้องเตรียมตัวให้ดีครับเรื่องเด็กหูอื้อซึ่งผมได้เขียนวิธีการแก้ปัญหานี้ไว้ที่นี้แล้วครับลองดูได้เลย เวลาการบินก็ดีมากครับทั้งไป-กลับ โดยขาไปช่วงเช้าประมาณ 11 โมงและขากลับเป็นช่วงเช้าประมาณ 8 โมงครับ

สถานที่ท่องเที่ยวและรายละเอียดทริป
Day 1
วันแรกขึ้นเครื่องจากเชียงใหม่ไปช่วง 11 โมงเช้าถึงที่สิงคโปร์ประมาณบ่าย 3 (นั่งเครื่อง 3 ชม. Timezone เปลี่ยนครับ) ก่อนขึ้นเครื่องก็แวะ The Coral Executive Lounge เป็นห้องรับรองที่สะดวกมากเลยทีเดียวอาหารก็ค่อนข้างเยอะเหมาะแก่การพาเด็กมาทานอาหารเช้าก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อถึงสิงคโปร์ก็เดินทางเข้าเมืองโดยรถไฟครับ โดยนั่งครั้งแรกก็หลงเลยครับ มันจะงงๆ นิดหน่อยเพราะการออกจากสนามบินเราต้องเปลี่ยนสายที่นั่งครับผมพักที่ Mercure Singapore Bugis เลยต้องไปลงที่สถานี Bugis ซึ่งตอนออกจากสนามบินเราต้องเปลี่ยนรถไฟที่สถานี Tanah Merah ครับไปนั่งรถไฟสายสีเขียว ใครอยากดูแผนที่ของรถไฟก่อนก็ดูที่เว็บหลักของรถไฟได้เลยครับที่นี้ครับ หลังจากถึงที่พักก็เทียวต่อเลยครับ จุดหมายเรา Bayfront โดยนั่งรถไฟไปลงที่สถานีนี้เลย แล้วก็เดินไปที่ Bayfront South Private Jetty เพื่อนั่งเรือชม Merlion และวิวโดยรอบของสิงคโปร์ครับ ใช้เวลานั่งประมาณ 40 นาที โดยสามารถลงที่ท่าเรือที่มี Merlion ได้เลยไม่ต้องเดินข้ามไปครับ ตรงนี้ลูกของผมอยากขึ้นเรือมากๆ แต่ต้องรอคิวอยู่ประมาณ 15 นาทีครับ หลังจากขึ้นไปก็ร้องอยากลงครับ เพราะมันนั่งนานเกินไป แต่วิวรอบๆ ข้างก็สวยงามอลังการมากๆ เด็กอาจจะเข้าไม่ถึงครับ เขาพาเราไป – กลับทางเดียวกันด้วยนะครับ เขาเลยเบื่อง่าย หลังจากนั่งเรือเสร็จก็ไปต่อที่ Singapore Flyer โดยเดินมาค่อนข้างใกล้เหมือนกันครับ แต่ใช้รถเข็นเด็กเลยสบาย ที่นี้ได้นั่งอยู่บน Singapore Flyer อีกเกือบๆ 40 นาทีเหมือนกันตรงนี้ลูกของผมชอบมากครับเพราะวิวกลางคืนมันสวยงามจริงๆ เขาไม่เบื่อที่จะนั่งดูเลยอาจจะเพราะได้นั่งชิงช้าสวรรค์ด้วย กลับมาถึงบ้านเขาก็มาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ กับคนอื่นฟังเรื่อยๆ เลยครับว่าสิงคโปร์สวยมาก แต่ตรงนี้ดูด้วยนะครับว่าเด็กกลัวความสูงมากไหม หรือพ่อแม่กลัวความสูงหรือป่าวเพราะมันสูงจนน่าหวาดเสียวเลยทีเดียวและเราต้องขึ้นไปครบจำนวนคนด้วยครบหากเราไป 3 คนพ่อแม่ลูกก็จะมีคนอื่นนั่งไปด้วยก็ต้องดูแลลูกเราให้ดีไม่ไปรบกวนคนอื่น จบวันแรกนั่งรถ Taxi กลับที่พักเลยครับเพราะเหนื่อยกันมากและเวลาก็ค่ำมากแล้ว(4 ทุ่ม) สรุปวันแรกไปเทียว 2 ที่คือ
– Bayfront South Private Jetty
– Singapore Flyer รีวิวเต็มๆ อ่านที่นี้ครับ
* ระยะทางเดินไปทั้งหมดวันนี้ 8.03 km

Mercure Singapore Bugis
Mercure Singapore Bugis

Bayfront South Private Jetty
Merlion
Singapore Flyer
Singapore Flyer

Day 2
ตื่นเช้ามาลงมาหาข้าวทานที่ food court ข้างๆ ตึกเลยครับราคาก็ไม่ได้แพงอะไรเลยเริ่มต้นที่ 3$ เท่านั้นสถานที่ก็ค่อนข้างสะอาดดีครับ วันนี้แผนเที่ยวคือไป Singapore Zoo , River Safari ซึ่งวางแผนไว้ว่าถ้าลูกไม่สนุกมากก็จะกลับที่พักเร็วๆ แต่กลายเป็นว่าเขาสนุกกับที่นี้มากเพราะสัตว์ที่นี้หลากหลายมาก สัตว์ทุกตัวสุขภาพดีสวยงาม ไม่ใช่สิงโตแก่ๆ เหมือนแถวบ้านเราเลย ทั้งฮิปโป, ลิง,ยีราฟ,ช้าง,ม้าลาย,แพนด้า เป็นที่สนุกของลูกมากโดยเราก็เสียเงิน 5$ สำหรับผู้ใหญ่และ 3$ สำหรับเด็กเพื่อนั่งรถชมสัตว์รอบสวนสัตว์แบบไม่ต้องเดินเยอะจนเกินไป  ภายในสวนสัตว์จะมีกิจกรรมตลอดนะครับ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ว่ามีอะไรแสดงเวลาไหนครับ เผื่อเราสนใจก็สามารถเข้าไปดูได้ ส่วนไฮไลท์ของที่สวนสัตว์นี้เป็น River Safari ครับที่ต้องเดินออกมาข้างนอกของ Singapore Zoo นิดหนึ่งครับ ตรงนี้ลูกของผมชอบที่สุดแล้วเพราะตู้ปลาที่นี้น้ำใสสุดๆ กระจกนี้แบบว่าใสมาก สัตว์น้ำที่นี้ในบ้านเราก็ไม่ค่อยมีครับ อย่างพายูน ตู้ปลาก็ใหญ่มากบางจุดใหญ่กว่าสระว่ายน้ำอีกครับ บอกเลยว่าอย่าพลาดพาเด็กๆ มาชมที่นี้เลย หลังจบที่นี้ตอนแรกที่ว่าจะกลับไปพักกลายเป็นว่าไปเทียวที่ Garden by the bay ต่อเลยครับโดยนั่ง Taxi มา โดยไปเดินชม Flower Dome, Cloud Forest, Supertree Grove ซึ่งลูกก็ไม่อินครับ สุดท้ายก็เดินกลับโดยรถไฟซึ่งค่อนข้างไกลพอดูเดินจาก Garden by the bay ไปสถานี Marina Bay MRT Station ระยะทางประมาณ 1.7 กม. เหมือนจะไม่เยอะแต่เป็นระยะทางที่เหนื่อยมากหลังจากไปเทียวสวนสัตว์มาในวันเดียวกัน จบวันนี้กลับถึงห้องเร็วขึ้นครับ ซึ่งเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ชม Supertree ในช่วงเวลากลางคืนที่มีไฟสวยๆ ตอนเย็นก็กลับมากินไก่ Bonchon ที่ห้าง Bugis+ ติดกับโรงแรม Mercure Singapore Bugis เลย สรุปวันนี้ไปเทียวมา 2 ที่ครับคือ
– Singapore Zoo
– Garden by the bay
* ระยะทางเดินไปทั้งหมดวันนี้ 11.8 km
อ่านรีวิว Singapore Zoo , River Safari แบบเต็มๆได้ตรงนี้นะครับ  มีทั้งวิธีการเดินทาง,ค่าใช้จ่ายเข้าประตู ,วิธีการจ่ายค่าเข้าประตูแบบถูกๆ , รีวิวสถานที่ , แผนที่ของ Singapore Zoo , River Safari แบบฉบับเต็ม

Singapore Zoo
Singapore Zoo
River Safari
River Safari
River Safari
River Safari
ระยะทางจาก Cloud Forest ไปยัง Marina Bay MRT Station

Day 3
เป็นวันที่เหนื่อยล้ามาจากเมื่อวานเพราะเดินไปค่อนข้างเยอะ และต้องพาลูกไปสวนสัตว์ที่ต้องอุ้มลูกขึ้นๆ ลงๆ รถ วันนี้จึงเป็นวันที่ให้เวลาพ่อกับแม่ได้นอนตื่นสายแต่เป็นวันที่วางทริปที่เทียวสำคัญอย่าง Universal Studios ไว้ โดยก่อนเทียว Universal เราก็แวะไปเดินที่ Sentosa ที่เป็นโซนสัตว์น้ำก่อน ซึ่ง Sentosa นี้อยู่ติดกับ Unisersal Studios เลยครับ ภายในสวยงามใกล้เคียงกับ River Safari ที่ไปมาเมื่อวานแถมมีตู้ปลาขนาดใหญ่พอๆ กับโรงหนังเลยด้วยลูกของผมชอบที่นี้เหมือนกัน แต่ข้อเสียคือคนเยอะมากๆ แทบไม่มีที่ลากรถเข็นเด็กเลยด้วยซ้ำจึงรีบออกมาอย่างเร็วเลย แล้วก็ไป Universal Studios ต่อโดยได้พาลูกเล่นเครื่องเล่น 3 อย่างคือ Madagascar: A Crate Adventure, King Juliens Beach party-go-round,ได้ดู Shrek’s Far Far Away หนัง 3D และปิดท้ายได้ดูโชว์ Mion กลางถนน แค่นั้นที่เหลือรอต่อคิวไม่ไหวเพราะบางอย่างคิวก็ไปเป็น 40 นาทีเลย ได้แต่เดินเทียวภายใน Universal Studios และซื้อของฝากกลับเลย ก่อนจะกลับที่พักก็แวะเดินซื้อของฝากที่ตลาด Bugis Street อยู่ติดกับสถานีรถไฟ Bugis และหากินข้าวในห้าง Bugis+ เหมือนเดิมจบวันนี้และจบทริปเทียวสิงคโปร์สรุปวันนี้ไปเทียว
– Sentosa
– Universal Studios
* ระยะทางเดินไปทั้งหมดวันนี้ 9.85 km

Sentosa
Universal Studios
Universal Studios
Universal Studios

Day 4
ตื่นตี 5 เพื่อไปสนามบิน Changi Airport Singapore โดยนั่ง Grab ไปขานั่งเครื่องกลับลูกไม่มีงอแง้อะไรมากมาย แต่ร้องปวดหูเหมือนเดิมซึ่งก็ใช้ทริคแบบเดิมที่ผมได้เขียนไว้ใน Blog เลย มาถึงบ้านเขาก็พูดแต่เรื่องที่เขาไปเทียวสิงคโปร์บอกทุกๆ คนที่เขารู้จักว่าสิงค์โปรสวยและสนุก ซึ่งวันที่ผมเขียน blog ผ่านมา 1 เดือนก็ยังพูดถึงเรื่องนั้นอยู่

การเลือกที่พัก
ตัวผมนั้นเลือกที่พักที่เน้นใกล้สถานที่เราจะไปเทียวเป็นหลักอย่าง Marina Bay จากนั้นก็หาโซนที่เราคิดว่าโอเคอย่าง China Town หรือ Bugis ก็ถือว่าดีมากเช่นกันโดย Bugis ก็มีแต่คนจีนอาศัยอยู่เป็นหลักและมีห้างดังอย่าง Bugis+ อีกด้วย จากนั้นก็เลือกที่พักที่ราคาที่เรารับได้ส่วนตัวของผมก็เลยเลือก Mercure Singapore Bugis ที่ติดกับห้าง Bugis+ และใกล้เซ่เว่น , food court จีน , ตลาด Bugis Street เลย ส่วนห้องก็ถือว่าไม่ใหญ่มากแต่ก็ไม่ได้เล็กมากมายนักแต่ห้องน้ำค่อนข้างเล็กนิดหนึ่ง แต่วิวข้างนอกสวยงามน่าดูมากโดยเฉพาะตอนกลางคืน แถมมี Welcome Dink ด้วยครับ เลือกเครื่องดืมได้ว่าจะเอาน้ำอัดลมหรือ Craft Beer Singapore แอบบอกเลยว่า Craft Beer ที่นี้นุ่มสุดๆ ไปเลย

Mercure Singapore Bugis
Mercure Singapore Bugis
โรงแรม Mercure Singapore Bugis
โรงแรม Mercure Singapore Bugis

ของลูกที่ต้องเตรียมไป
– เสื้อผ้า เตรียมเสือผ้าไม่ต้องหนามากจนเกินไปแต่ให้พกเสื้อกันหนากับกางเกงขายาวไปด้วย ตอนฝนตกอากาศที่นี้จะเย็นนิดหนึ่งทำให้เด็กอาจจะไม่สบายได้
– ยารักษาโรค
– นม พกไปให้ครบวันเลยก็ได้หากกระเป๋าสามารถใส่ไปได้ แต่ที่สิงคโปร์ก็มีนมเด็กเช่นกัน
– แพมเพิส ปัจจุบันลูกของผมเลิกแพมเพิส 100% แล้วไม่ใส่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ที่พกไปเพราะบางครั้งเราไม่รู้ว่าจะหาห้องน้ำให้เขาได้ไหม ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ก็ให้เขาใส่แพมเพิสเลย ซึ่งไม่ต้องพกไปเยอะแค่ 1-2 ชิ้นพอแล้ว
– ขนม ขนมที่สิงคโปร์ค่อนข้างแพงมากและเหมือนกับที่ขายในไทยเลย เพราะเฉพาะนั้นพกไปดีกว่าครับ ซื้อจากที่บ้านเราถูกกว่า 2-3เท่าเลย
– ของเล่น เป็นอีกอย่างที่นี้ขายค่อนข้างแพงมากโดยเฉพาะในเซเว่นเลยเป็นอีกอย่างที่ตัดสินใจพกไปเยอะเช่นกัน เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องซื้อของเล่นเยอะ แต่ก็ให้โอกาศเขาได้เลือกซื้อก่อนกลับบ้านเช่นกัน

การเตรียมความพร้อมของลูก
– เตรียมพร้อมกับการนั่งเครื่องบินนานๆ โดยการฝึกให้อยู่นิ่งๆ
– ฝึกนั่งรถเข็น
– ฝึกการไม่อยู่บ้านหลายๆ วัน (บางครั้งเขาก็จะร้องไห้คิดถึงบ้าน)

สัมภาระ
การมาเทียวไม่เกิน 4 วันของใช้บางอย่างของเด็กและพ่อแม่จะไม่เยอะมาก เพราะเฉพาะนั้นพยายามใส่ให้ได้ครบกระเป๋าลาก 1 ใบ และไม่ควรให้น้ำหนักเกิน 25 กิโล ไม่งั้นจะหนักเวลาเราเดินทางในสถานีรถไฟ เพราะเราต้องพกรถเข็นเด็กไปด้วย และในบางจุดนั้นเราต้องอุ้มลูกเพื่อขึ้นหรือลงรถไฟ ทำให้ต้องพับรถเข็นและลากกระเป๋าไปพร้อมๆ กันถือว่าค่อนข้างหนักเลย แต่ก็ยังสามารถไปพร้อมกันได้ ที่สิงคโปร์ค่อนข้างสะดวกตรงที่ทุกสถานีรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการอยู่หากเราต้องการความช่วยเหลือขอเปิดทางเข้าพิเศษก็ขอได้เลย คนสิงคโปร์ใจดีด้วยครับหากเห็นเราอุ้มเด็กขึ้นรถไฟเขาจะลุกให้เราครับ นอกจากนี้แล้วเรายังจะต้องสะพายเป้อีก 1 ใบ โดยในเป้จะเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับเด็กจริงๆ ด้วยถือว่าไม่เบาเลยละครับ หลังลงเครื่องบินเข้าที่พักต้องพักเพื่อพักผ่อนเลยไม่งั้นก็จะไปเทียวต่อไม่ไหว

อาหาร
ในสิงคโปร์ส่วนมากจะมีแต่เมนูเป็ด,ไก่,หมู ซึ่งอาหารที่นี้หากเราเลือกโซนร้านอาหารจีนก็จะเจออาหารจืดๆ มันๆ หน่อย ซึ่งจริงๆ เด็กก็พอกินได้ในบางอย่างก็ต้องดูเป็นเมนูไป ส่วนไก่ KFC ประเทศนี้กินไม่ลงเลย เด็กไม่แตะสักชิ้นเดียวส่วนพ่อกับแม่ต้องทิ้งเพราะมันไม่ไหวจริงๆ เลยหากินอาหารในห้างอย่าง Bugis+ ถึงจะเจออาหารอร่อย แต่ผมก็มีทริคแนะนำอีกอย่างเหมือนกันคือการใช้ Google Map หาร้านอาหารรอบๆ ตัวเรา จากนั้นให้ดูว่าร้านไหนมี Rating ดีเราก็เลือกร้านนั้นก็ได้ครับ เต็มที่ก็เจอร้านอาหารที่พอกินได้แต่จะไม่เจอร้านที่แย่ๆ ครับ วิธีการเปิดตามตามในรูปเลยถือเปิดแผนที่แล้วให้กดตรง Restaurants ก็จะเห็นร้านอาหารแล้วครับ

Google map restaurants
Google map restaurants

การเตรียมความพร้อมของพ่อแม่
สำหรับการเตรียมตัวมาเทียวที่สิงคโปร์นั้นผมแนะนำคล้ายๆ กับทริปญี่ปุ่นครับ คือ
1.ให้ออกกำลังกาย ที่ต้องออกกำลังกายก่อนมาเทียวนั้นก็ต้องดูจำนวนระยะทางในการเดินที่ผมให้ข้อมูลไว้ จะเห็นว่าแต่ละวันต้องเดินราวๆ 8-9 กม. เลย ซึ่งเป็นการเดินที่พกกระเป๋าเป้ไว้กับตัวหนักราว ๆ 5 กิโล ลากรถเข็นเด็กไปด้วยหรือบางทีก็ต้องอุ้มลูกด้วย บอกเลยว่าถ้าไม่ออกกำลังกายมาจะเหนื่อยตั้งแต่วันแรกครับ โดยแนะนำให้อย่างน้อยๆ เราควรเดิน 5 กม. และยกเวทสัก 10 กิโล ก่อนมาเทียว 2 อาทิตย์เพื่อให้ร่างกายฟิตพร้อมเทียว แต่เพื่อความไม่ประมาณแนะนำพกยากแก้ปวดมาด้วยก็ดีครับ
2.วางแผนการเทียว ในที่สิงคโปร์จะไม่มีสถานที่เทียวเยอะเหมือนประเทศญี่ปุ่นซึ่งแผนการเทียวของคนมาเทียวสิงคโปร์จะคล้ายกันเกือบ 70% ครับ ซึ่งที่เราต้องวางแผนน่าจะเป็นเรื่องการเดินทางมากกว่าว่าจะเดินทางรถไฟจากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่งยังไง จะนั่ง Taxi ยังไงดีหรือ Grab ดี หรือจะเดินทางด้วยรถ Bus ก็ได้เช่นกัน ทั้งหมดเราต้องศึกษาก่อนมาเทียวครับไม่งั้นจะเสียหลงทางได้ แต่ไม่ต้องกลัวครับ ที่นี้คล้ายกรุงเทพมาก เดินทาง 1 วันเราก็จะเริ่มชินกับการขึ้นรถไฟแล้ว
3 . เช็คเอกสารก่อนเดินทางที่สำคัญๆ อย่าง Passport หรือใบขับขี่สากลหากต้องเช่ารถ โดย Passport ต้องเช็ควันหมดอายุ , เช็คชื่อว่าสะกดถูกต้องไหม และอย่าลืมพกติดตัวไปด้วยเด็ดขาดตอนไปสนามบิน ผมเคยเจอเคสหนึ่งตอนเทียวฮ่องกงนี้เลยพ่อมากับลูก 3 ขวบสองคน บอกว่าแม่มาด้วยไม่ได้เพราะ Passport กำลังจะหมดอายุในอีก 1 สัปดาห์(ตามปกติแล้วต้องอายุเหลือมากกว่า 6 เดือนขึ้นไปครับถึงจะเข้าประเทศได้) ส่วนใบขับขี่สากลแนะนำให้เช็คข้างในว่ามีปั๊มสองอันไหมดังในตัวอย่างไม่งั้นเขาจะไม่ให้เราเช่ารถครับ ที่เหลือก็เป็นการตรวจสอบทั่วๆ ไปเช่นวันเดินทาง, เวลาเดินทาง , ตั๋วถูกไหม ประมาณนี้ครับ เพื่อความไม่ประมาท

 

ใบขับขี่สากล
ใบขับขี่สากล

สรุป การพาเด็ก 3 ขวบครึ่งเทียวสิงคโปร์รอบนี้ไม่เหนื่อยมากเท่าตอนไปญี่ปุ่นครับเพราะผมได้ย้ายโรงเรียนลูกไปที่ใหม่ ที่นี้เขามีการสอนในอีกรูปแบบที่ดีกว่าที่เดิมนั้นคือการให้เด็กมีสมาธิ , พัฒนาร่างกาย และให้เขาไปโรงเรียนอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน การมาเทียวต่างประเทศรอบนี้จึงต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย คนเป็นพ่อกับแม่ไม่คิดจริงๆ ว่าโรงเรียนจะช่วยพัฒนาลูกเราได้มากมายขนาดนี้ จึงเป็นทริปที่ประทับใจทั้งพ่อและแม่รวมถึงลูกด้วยเลย หากมีโอกาศหน้าเราก็จะพาลูกกลับไปเยือนดินแดนแห่งนี้อีกแน่นอนครับ เพราะที่สิงคโปร์มีอะไรดีๆ ให้เราได้ไปค้นคว้าและเปิดโลกอีกเยอะ ..

* หมายเหตุ รูปภาพอาจจะไม่ได้สวยงามมากนะครับเพราะต้องดูแลลูกจึงไม่มีเวลาเล็งให้สวยมากนัก แต่หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ