หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง
เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย
เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า
มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ
กำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา
จึงจับรถมากรุงเทพ
และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)
สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้น
ซึ่งกว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ
เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ
จึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้นั่ง
และยื่นใบสมัครมาให้กรอกข้อความ
นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแหย ๆ
ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า
“… ขอโทษครับพี่
ผม…คือว่า…
ผม…อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ… ”
เจ้าหน้าที่ ที่นั่งรับสมัครอยู่นั้น
เปลี่ยนสีหน้าทันที
“… อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน
ถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง
ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา
แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ ”
หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด
ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ
“… ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ
แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่
ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ ”
“ งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. .. ”
เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย
“… เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ
อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ
ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ
กลับไปเถอะ ”
หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียน
ที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างหงอยเหงา
และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพ
ก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย
จับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน
จึงนึกขึ้นได้ว่า
ตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดก
เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแมวดิ้นตาย
มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว
ด้วยความเจ็บใจ
จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม
หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้น
และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย
อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .
อาจเป็นบุญในปางบรรพ์
ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ได้
ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมา
สวนผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้น
ออกผลอย่างงดงาม
และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุกปี
กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง
ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .
หลายสิบปีต่อมา
จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน
และประสบการณ์ที่เพิ่มพูน
บัดนี้
หนุ่มบ้านนอกคนนั้น
ก็กลายเป็นชายชรา
ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ
พ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
และภูมิภาคนั้น
…
อยู่มาปีหนึ่ง
เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล
และชำระบัญชีเรียบร้อย
โดยฝีมือของลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษา
และแจกงานการให้ทำในสวนนั้นแล้ว
พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน
นั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอ
เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก
เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว
พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่
ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว
เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว
ผู้จัดการก็แตะข้อศอก
ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง
ให้กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา
“ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้
รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยครับ ”
พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ
ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ
พร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ
“ พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด
ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก… ”
ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดยอัตโนมัติแบบงงสุดขีด
พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ (มาก ) อย่างเกรงใจสุดๆ
“… เอ่อ…ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ…
… เอ่อ…ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ
คือ…พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกันดีอยู่
ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยง
ในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้
แต่… ” ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ
และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมา
ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง
“… แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก
และเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ…. ”
“… พ่อหนุ่ม ” พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี
“… ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ… ”
แกถอนหายใจยาว
ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า
“… ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ…"
: )
เพราะฉันอ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ (ภาษาอังกฤษด้วยนะ)ฉันถึงได้มาเป็นแม่บ้านถึงเมืองจีน แต่ฉันก็ตัดสินใจลาออกแล้วนะ รอแค่วีซ่าหมด ฉันก็จะกลับไปอยู่บ้านนอก คิดจะทำเกษตรกรรมเหมือนกัน ขอกำลังใจให้ฉันด้วยนะ
ลูกชาวนา