เมื่อเดือนเมษายน ปี 2561 ที่ผ่านมาช่วงกลางเดือนผมได้พาลูกอายุ 2 ขวบกับอีก 7 เดือนไปเทียวประเทศญี่ปุ่นมา ซึ่งก็อยากแชร์ข้อมูลให้คนอื่นได้เก็บไว้เป็น Guide ไว้อีกแนวทางหนึ่งเหมือนกัน ตัวผมเองนั้นได้ไปเทียวกัน 5 คนครับเป็นเพื่อนที่สนิทกัน การเดินทางสัมภาระในบางครั้งก็จะมีเพื่อนมาช่วยด้วยตรงนี้ก็อาจะอธิบายในตอนหน้านะครับว่าดียังไง เนื่องจากมีข้อมูลค่อนข้างหลากหลายเลยขอแยกเป็นหัวข้อๆ เพื่อจะได้เจาะจงรายละเอียดได้ครบนะครับ
จำนวนวันที่เทียว
เริ่มจากจำนวนวันที่เทียวก่อนเลยครับ ตรงนี้จำนวนที่เราจะไปจริงๆ ต้องตัดวันเดินทางออกครับ โดยเฉพาะหากว่าต้องไปต่อเครื่องที่สิงค์โปร์หรือฮ่องกงก่อนกลับถึงบ้านเรานี้ก็ไม่นับว่าเป็นวันเทียวเลยครับ ส่วนตัวผมนั้นไปเทียวทั้งหมด 12 วันรวมเดินทางครับ ไปพักสิงค์โปร์หนึ่งวันทั้งวันไปจากไทยและวันกลับจากญี่ปุ่น เทียวญี่ปุ่นจริงๆ ก็ราวๆ 10 วันถือว่าเยอะมากสำหรับครอบครัวที่มีเด็กไปด้วยเหมือนกันครับ จำนวนวันที่ไปเทียวแต่ละครอบครัวก็อาจจะวางแผนไม่เหมือนกันนะครับ ขึ้นอยู่กับงบประมาณในการเทียว , ความพร้อมของลูก , ความพร้อมของพ่อและแม่ด้วยครับ หากว่าให้แนะนำไปกี่วันดี ผมก็แนะนำได้ว่าหากไปครั้งแรกไปสัก 5-7 วันกำลังดีครับ 3-4 วันอาจจะรู้สึกน้อยไปหน่อยเพราะการพาลูกเดียวเราไม่ได้เทียวโหดมากครับ ในหนึ่งวันของเราจะไปเทียวได้แค่ไม่กี่ที่เท่านั้นเอง เราเลยต้องใช้เวลาเยอะกว่าคนที่ไปเทียวโดยไม่มีเด็กครับ
สายการบินที่นั่ง
ผมได้บินกับ Singapore Airline ซึ่งสามารถบินตรงจากเชียงใหม่ได้เลยครับ ออกจากเชียงใหม่โดยสารการบิน Silk Air และต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สิงค์โปรครับ จากนั้นก็บินต่อไปลงที่สนามบินฮาเนดะ ข้อดีของสายการบินนี้คือมีข้าวให้เราครับ จากเชียงใหม่ไปสิงค์โปรก็มีข้าว 1 มื้อและเครื่องดื่มมีให้เลือกหลากหลายเลย และจากสิงค์โปร์ไปฮาเนดะก็มีข้าวให้อีก 1 มื้อ ขนม และเครื่องดื่มตลอดการเดินทาง มีเครื่องดื่ม signature เป็น Singapore sling ครับ รสชาติออกเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นน้ำทับทิม ถือว่าอร่อยเลยครับ
ส่วนของเด็กนั้นเขาจะให้แยกมาเป็นข้าวและขนม และน้ำผลไม้สำหรับเด็กเลยครับ ซึ่งอาหารเด็กนี้เราต้องสั่งไว้ในขั้นตอนการจองตั๋วเครื่องบินคับ ทุกครั้งที่เครื่องขึ้นเสร็จสักพักแอร์ก็จะเอาของเล่นมาให้เด็กครับ นอกจากนี้บนเครื่องยังมีเเท็บเล็ตที่เล่นหนัง, ฟังเพลง,ดูการ์ตูนสำหรับเด็ก, เล่นเกม(มีจอยบังคับเกม)ได้ครับ ตรงนี้ช่วยเผาเวลาบนเครื่องได้ดีทีเดียว แต่ตรงนี้ก็บอกเลยว่าถึงจะเผาเวลาได้แค่ไหนก็ต้องมีเบื่อครับ แนะนำให้เตรียมหากิจกรรมบนเครื่องไปให้พร้อม เพราะจากสิงค์โปร์ไปญี่ปุ่นใช้เวลา 7 ชม. เลยครับ แต่จากเชียงใหม่ไปสิงค์โปร์ใช้เวลาประมาณ 3ชม. ส่วนตัวนั้นผมไม่เคยให้ลูกเล่น iPad หรือ Tablet เลยครับ การใช้งานของตัวเครื่องบินก็เพียงพอแล้ว นอกนั้นก็เตรียมพวกสมุดวาดภาพ,สติกเกอร์,ของเล่น,หนังสือไปอ่านครับ หากลูกไม่หลับนี้บอกเลยครับ 7 ชม. บนเครื่องนี้เหนื่อยแทบขาดใจเลย เพราะฉะนั้นทำยังไงก็ได้ให้ลูกได้นอนหลับบนเครื่องให้ได้ครับ สัก 1 ชม. ก็ยังดีเพื่อเราจะได้มีเวลาพักผ่อน ข้อดีของสายการบินนี้คือ อาหารอร่อย , เบาะนั่งสบาย , มีของเล่นสำหรับเด็ก , มีเครื่องดืมหลากหลาย , ห้องน้ำเยอะ ข้อเสียคือเวลาลงเครื่องจะหูอื้อนานมากๆ ไม่เหมือนกับที่เคยนั่งมาก่อนเลย ต้องเตรียมตัวให้ลูกทานนมหรือน้ำให้ได้ ส่วนลูกของผมนี้ร้องไห้ตั้งแต่เตรียมตัวลง จนเครื่องถึงพื้นเลย เพราะกินนมไปแล้วไม่หายปวดหู ส่วนคำแนะนำเรื่องการจะเลือกสายการบินสำหรับเด็กนั้นแนะนำได้แค่ว่า ให้เลือกเครื่องบินลำใหญ่, สายการบินที่น่าเชื่อถือ , ราคาสมเหตุสมผล , มีแจกของเล่นหรือมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ส่วนสุดท้ายนั้นให้ถึงให้เร็วที่สุด เพราะการนั่งเครื่อง 7 ชม. สำหรับเด็กเป็นอะไรที่ทรมา นจริงๆ หรือจะใช้วิธีการนั่งไปเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลี,ฮ่องกง ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน ส่วนใครที่ยังไม่เคยพาลูกขึ้นเครื่องบินกลัวมีปัญหาเรื่องหู้อื้อผมได้เขียนบทความช่วยเสริมให้แล้วนะครับตรงนี้เลย
สถานที่ท่องเทียว
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับพ่อแม่เป็นหลักเลยครับ เพราะเด็กจะไม่ค่อยอินกับสถานที่ท่องเทียวต่างๆ มากมายนัก จากที่ไปมานั้นลูกผมอินสุดจะเป็น Sanrio Puroland ครับ ถ้าไปเดินชมซากุระ , เดินเทียวริมแม่น้ำชมภูเขาไฟฟูจิลูกผมไม่แม้แต่อยากดูเลยครับ แต่ลองมาดูทริปของผมได้
ส่วนรายละเอียดแผนการเทียวของผมนั้นเป็นแบบนี้ครับ
Day 1
ขึ้นเครื่องจากเชียงใหม่ไปสิงค์โปร์ – ระหว่างรอเครื่องขึ้นที่เชียงใหม่ก็ไปนั่งกิน Snow ที่ WakeUp นั่งเครื่องประมาณ 3 ชม. ครับ Time Zone ต่างกัน 1 ชม. เวลาดูเครื่องลงก็จะงงๆ หน่อยเพราะคิดว่านั่ง 4 ชม. จากนั้นก็นั่งรอรถ Bus เข้าโรงแรมอีกเกือบชม. สุดท้ายกว่าจะถึงห้องก็เกือบๆ 5 ทุ่มได้ เลยหาข้าวเซ่เว่นกินง่ายๆ และนอนพักผ่อนกัน ถึงโรงแรมแรกที่สิงค์โปร์ปัญหาคือลูกร้องไห้อยากกลับบ้านซะแล้ว
Day 2
บินออกจาก Changi Airport Singapore ไปยัง Haneda Airport ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมง ตอนไปถึงค่อนข้างดึกมาแล้วไม่มีรถไฟเลยจำเป็นต้องนั่ง Taxi ไปที่พัก จากสนามบินไปแถวๆชินจุกุ ค่า Taxi ราวๆ 10,000 เยน แพงเอาเรื่องเลยครับ วันนี้ได้นอนเกือบๆ ตี 2
Day 3
ตื่นเช้าเพื่อไปนั่งรถบัสไปคาวาคุจิโกะ เราจองบัสไว้ตอน 11 โมงครับ ไปขึ้นบัสที่ห้าง Mark เพราะอ่านรีวิวมาบอกว่าที่นี่คนน้อย เราเลยไปแวะเทียวชิบุย่ากันตั้งแต่ 10 โมง และแน่นอนครับ… ตกรถทัวร์ เลยต้องซื้อตั๋วรถทัวร์ใหม่เลย ใช้เวลาเดินทางไปคาวาคุจิโกะประมาณ 3 ชั่วโมง นอนหลับสบายสุดๆ ครับทั้งรถทัวร์มี 2 กลุ่มที่ไปกัน คือ กลุ่มเรา 5 คนรวมเด็กน้อย และนักท่องเที่ยวชาวจีนหรือเกาหลีไม่ทราบได้อีก 2 ท่าน รวมแล้ว 7 คนเลยครับที่นั่งมีประมาณ 30 ที่นั่ง นั่งกันสบายมากกก
การขึ้นรถบัส บางท่านอาจจะมองว่าช้ากว่ารถไฟ แต่ผมว่ามันเหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กตรงที่เราไม่ต้องยกของย้ายไปมาครับ โดยเฉพาะรถเข็นเด็ก และกระเป๋าเดินทาง เมื่อไปถึงที่ เจ้าของที่พักมารับเราที่สถานีครับ และ พาเราไปซื้อของกินที่ supermarlek ครั้งนี้เราพักกันที่ Lake villa kawaguchiko ครับ ของกินที่ซื้ัอคือเราซื้อกับข้าวไปนั่งทำกินกันที่ที่พัก ซึ่งที่พักของเราเป็นบ้านหลังใหญ่ เจ้าของก็ใจดี และพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากๆ ที่สำคัญที่นี่เปิดประตูบ้านมาก็เห็นภูเขาไฟฟูจิเลยครับ จบไปอีกวันที่ยังไม่ได้หลับไม่ได้นอน ถึงตรงนี้บอกเลยครับ ร่างกายเริ่มไม่ไหว เราต้องสลับกันดูแลลูกด้วยครับ ขอแช่ออนเซ็นดูฟูจิแล้วนอนดีกว่า
Day 4
วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 ไปดูภูเขาไฟฟุจิ เพราะเจ้าของโรงแรมบอกว่า ตอนตี 4 ฟูจิจะสวยมาก เราก็เลยตื่นไปดูครับ ปรากฎว่า มีเมฆบัง แสงไม่สวย เลยเข้าบ้านไปนอนต่อ ว่าถ้ามีลูกไปด้วยไม่ต้องไปดูเวลานี้ก็ได้ครับ เพราะเราจะต้องเก็บแรงไว้สู้กับความซนของลูกช่วงในกลางวัน นอนไปซักพักตื่นมาอีกที เราไปขึ้นกระเช้ากันครับที่ Mt. Kachi Kachi Ropeway เพื่อดูภูเขาไฟฟุจิจากมุมสูง ผมคิดว่าตรงนี้ไม่น่าพาเด็กมาเท่าไรเลยครับ เพราะเราเอารถเข็นขึ้นไปบนกระเช้าไม่ได้ คิวยาวด้วยครับ เราต่อคิวเฉยๆ ใช้เวลาไปเกือบๆ 1 ชั่วโมงเลยครับ แล้ว จบจากที่นี้ต้องกลับไปพักเลยครับ เพราะเข้าวันที่ 4 แล้วที่แทบไม่ได้นอน ตอนเย็นก็จะไปชมซากุระแต่ก็ไม่ไหวครับ ไปแช่ออนเซ็นแล้วก็กลับมานอนครับ
Day 5
เป็นวันที่ต้องออกจากคาวาคุจิโกะ เลยพากันไปเดินชมซากุระแถว Kogamasao Memorial Park ครับ ไม่ไกลจากที่พัก ตรงนี้ผมบอกได้เลยตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรสวยเท่านี้มาก่อนในชีวิตครับ เคยเห็นซากุระในทีวี หรือในหนังสือที่เขาถ่ายรูปมามันก็ไม่เหมือนกันเลยครับ อนาคตอยากมาใช้ชีวิตปั่นปลายที่นี้จริงๆ แต่วันนี้เราจะต้องไปที่เมือง Sendai ครับ เพราะไม่งั้นจะพลาดทริปอื่น ซึ่งหลังจากไปเทียวมาอีกหลายๆ ที่ตามแผนที่วางไว้ ผมเสียดายมาก น่าจะพักที่คาวาคุจิโกะต่ออีกวันครับเพื่อชมซากุระ ปีหนึ่งจะเจอที่บานจริงๆ แค่ 1 อาทิตย์เท่านั้นและวันที่ผมไปก็ยังเป็นช่วงอากาศเปิดด้วย มันเป็นภาพที่ประทับใจมากๆ คิดแล้วยังเสียดายไม่หายเลยเพราะไม่แน่ใจว่าไปอีกกี่ปีจะเจอบรรยากาศสวยงามอลังการแบบนี้ เรากลับเข้าโตเดียวด้วยรถบัสอีกเหมือนเดิมครับ แล้วก็นั่งชินกันเซ็นต่อไป Sendai ตอนเย็นก็ออกมาเทียวตลาดที่ไม่ไกลจากสถานี่รถไฟ Sendai ครับ มีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายหลายแบบจริงๆ ที่สำคัญคือเป็นถนนเส้นเดียว ที่มีร้านค้าต่างๆมากมาย แต่ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่อยากได้ก็ยังไม่ต้องซื้อครับเพราะต้องเปลี่ยนที่พักอีก ซึ่งคืนนี้นอนที่ Hotel JAL City Sendai ครับ เดินทางสะดวกติดสถานี Sendai Station เลยครับ
Day 6
วันนี้ผมนั่งชินกันเซ็นไปที่เมือง Fukushima ครับ เราเช่ารถขับเทียวครับ เพราะแฟนอยากไปดูกำแพงหิมะที่ Bundai azuma skyline ซึ่งช่วงที่ผมไป เขาบอกว่าจะเปิดให้ขึ้นไปเป็นวันแรกครับ แต่พอถึงวันจริง เขาเลื่อนเปิดซะงั้น เลยไม่รู้ไปไหนดี เลยขับรถขึ้นเขาไปเรื่อยๆครับ และแน่นอนครับ ขับรถหลงไปหลงมาครับ ไม่หลงนี่ไม่ใช่นักท่องเทียวเนาะ เราต้องหลงทางกันบ้างเป็นเรื่องปกติ 555 วันนี้ได้ขับรถไป Takayu Onsen , ลานสกี Minowa Ski Resort ,ตามหาซากุระที่ Kannonji River Sakura , Lake Inawashiro , Wakamatsu castle( Tsuruga-jō) เราไปเจอซากุระกำลังฟลูบลูมที่ปราสามแห่งนี้เหมือนกันครับ เป็นดอกสีขาว คิดว่าน่าจะคนละพันธุ์กันกับที่คาวากุจิโกะ แต่ก็สวยมากทีเดียวครับ ซึ่งโดยรวมของวันนี้ก็เป็นการเปิดหูเปิดตาดีโดยเฉพาะลานสกีที่สนุกครับเป็นหิมะแรกของเราสามคนพ่อแม่ลูกเลย วันนี้ก็ไม่เหนื่อยมากจนเกินไปครับเพราะมีรถเลยสบาย แต่ลูกสาวโดนหิมะโดยไม่ได้ตั้งใจ วันนี้เริ่มตัวร้อนและมีน้ำมูกครับ
Day 7
วันนี้เราออกจาก Sendai กลับไป Tokyo โดยชินกันเซ็นครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ไปถึงก็เข้าที่พักก่อนเลย โดยเลือกพักที่ APA HOTEL UENO-EKIMAE ครับ วันนี้ขอทางโรงแรมเช็คกินก่อนเวลา เพราะลูกสาวตัวร้อนครับ โรงแรมอยู่ห่างจากสถานี Ueno Station ประมาณ 800 เมตร จริงๆ เหมือนจะไม่ไกลนะครับ แต่ความจริงแล้วไกลมากสำหรับเราที่มีเด็กครับเพราะการเดินเราจะต้องคำนวน ไปและกลับด้วยครับ คือ 1.6 กม. แล้ว ถ้าลืมของก็โดนไป 3.2 กม. ครับ
ตอนนี้ลูกก็เริ่มมีไข้ครับ เพราะไปเจออากาศหนาว (7 องศา) ตอนออกไปหาซื้อแพมเพิสที่ถนนสายช้อปปิ้งใน sendai และ หิมะที่ fukushima มา มีอาการเป็นหวัดแล้วก็มีน้ำมูก มีไข้ เตรียมยามาจากบ้านแล้วครับ แต่ไม่ครบขาดยาลดน้ำมูกซึ่งตรงนี้เดินไปหาร้านขายยาที่ไหนก็ไม่มีขายเลยครับสุดท้ายใช้วิธีสอนลูกสั่งน้ำมูกแทน ที่สำคัญคือ คุยกับคนขายยาไม่รู้เรื่องครับ แต่เราก็พยายามทำความเข้าใจกันผ่าน google translate แต่ก็ได้ยามา 2 อย่างนี้ครับ กินแล้วอาการก็ไม่ค่อยดีขึ้นเลย
Day 8
วันนี้เราไปเที่ยว Sanrio Puroland หรือประเทศคิดตี้ครับ(ผมตั้งชื่อให้) กว่าจะถึงหลงทางไปประมาณครึ่งชั่วโมงได้เพราะลงรถไฟผิดสถานี นั่งรถไฟนานด้วย ลูกเริ่มก็งอแง อาจเป็นเพราะป่วยด้วย ซึ่งพอไปถึงแล้วกลายเป็นว่าลูกสนุกจนลืมป่วยไปเลย มันตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กมากๆ
ผมคิดว่าที่นี่เป็นสวนสนุกในร่มที่ดีมากแห่งหนึ่งครับ ทั้งเครื่องเล่นและการแสดง รวมไปถึงร้านอาหาร ซึ่งราคาไม่ได้แพงเหมือนสวนสนุกที่อื่นๆที่เคยไปมา ทุกอย่างมันน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ วันนี้ถึงแม้ลูกจะป่วย เป็นหวัด มีน้ำมูก จนเสียงพูดไม่มี แต่เขาเทียวจนลืมว่าเขาป่วยเลย กลายเป็นว่าหลังจากกลับมาจากญี่ปุ่นเขาก็ยังพูดถึงแต่ Sanrio Puroland จนถึงทุกวันนี้..
Day 9
วันนี้เราไปเยี่ยมญาติกันที่จังหวัด Ibaraki ครับ คุณอาพาไปเทียว Ushiku Buddha ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ แล้วก็กลับ วันนี้ขอเราขอให้อาพาไปซื้อยาลดน้ำมูกให้ลูก และพากันไป supermarket ได้มันหวานญี่ปุ่นมากิน ในราคาราวๆ 200 บาท อาแอบบ่นว่าแพง เลยบอกอาไปว่า แถวบ้านเราที่เชียงใหม่ โลละ 400 เลยนะ ขอกินซักครั้งหน่อยน่าาา รสชาติคืออร่อยจริงๆ หวานๆ นุ่มๆ กินละฟินมาก วันนี้เราจึงได้ยาและขนมกลับมาเยอะแยะเลย รวมทั้งอาการป่วยของลูกก็ดีขึ้นมา
Day 10
ไปกินบุฟเฟต์ปูที่ห้าง Daimaru Tokyo และเดินเทียวที่ตลาด ameyoko บ่ายๆไม่รู้ไปไหนดี ก็เลยพาลูกไปเที่ยวสวน Ueno และสวนสัตว์ครับ เด็กๆก็สนุกครับ เจอสัตว์หลากหลาย แต่บ้านเราก็มีครับ ดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่ค่อยเหม็น
ซึ่งเทียวสวนสัตว์ที่ Ueno อยู่ใกล้มาก Ueno Station โดยเดินไปได้เลยจากสถานี Ueno Station วันนี้ต้องย้ายที่พักเตรียมกลับบ้านกันแล้วครับ ทริปนี้กระเป๋าออกลูกเพิ่มอีก 1 ใบครับ และด้วยกระเป๋า 3 ใบ ( 2 ใบขามา + กระเป๋างอกอีก1 ) เราเลือกเดินทางโดยเรียก Grab ครับ รอบนี้ได้นั่ง Toyota alphard นั่งสบายสุดๆไปเลย ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 1 ชั่วโมง หลับกันเลยทีเดียว คืนนี้เราไปพักกันที่ RELIEF PREMIUM Haneda by RELIEF ที่พักนี้โอเคตรงที่ว่าติดสนามบิน Haneda Airport มากๆ มีรถไปส่งถึงสนามบินเลย ถ้าต้องบินออกเช้า อย่างผมบินตอน 7 โมง ก็สะดวกมากครับไม่เกิน 15 นาทีก็ถึงสนามบิน
Day 11
ตื่นตี 5 รีบเก็บของไปสนามบิน บินออกจากญี่ปุ่นไปสิงค์โปร ไปถึงต้องพักครับเทียวต่อไม่ไหวเลยจริงๆ พรุ่งนี้เตรียมตัวกลับเชียงใหม่ไฟล์ทเช้ามากเหมือนกันครับ ขากลับนี้สบายหน่อยครับเพราะตื่นเช้าทำให้ต้องปลุกลูกตั้งแต่ตี 5 เขาก็นอนไม่พอครับ มาถึงสนามบิน นั่งเครื่องก็หลับอย่างเดียวเลยครับ กว่าจะตื่นก็ปาไปเกือบเทียงแล้วเลยได้พักกันทั้งพ่อและแม่
Day 12
ออกจากสิงค์โปร์ถึงเชียงใหม่ บินเช้าอีกวัน เกือบตกเครื่องครับเพราะลืมของไว้ที่โรงแรม เป็นของค่อนข้างสำคัญครับ นมลูกนั่นเอง เลยต้องขอให้ Taxi วนกลับไปเอาอีก เพราะถ้าไม่มีนมขึ้นเครื่องไปด้วยเดี๋ยวลูกเจ็บหูครับ ไปถึงสนามบินต้องวิ่งอย่างเดียวเลยครับ เป็นวันที่รู้สึกว่า Changi Airport Singapore ใหญ่มากจริงๆ สุดท้าย … ทันพอดีครับ หลังจากพวกเราเข้าเกทเจ้าหน้าที่ก็ปิดประตูและเรียกขึ้นเครื่องเลย จบทริปเทียวญี่ปุ่นไว้เท่านี้ครับ
การเลือกที่พัก
ถ้ามีลูกพยายามเลือกเตียงใหญ่ที่สุดครับเพราะเด็กต้องนอนกับเรา แล้วก็หาที่พักให้ติดกับสถานีรถไฟมากที่สุดครับ เพราะเราจะไม่เหนื่อยมากถ้าต้องพาลูกไปสถานีครับ ตรงนี้ผมแนะนำให้ใช้ Google Map ส่องดูเลยครับ ว่าที่พักที่เราสนใจนั้นห่างจากสถานีมากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้าอยากพักที่ชิบุยาก็เปิดแผนที่แบบนี้เลยครับ
เราก็จะเห็นเลยว่าระยะทางของพี่พักห่างกันอยู่ 650 เมตรครับ เดินประมาณ 8 นาที โดยเวลาเราคิดระยะทางให้บวกไป-กลับด้วยนะครับ เพราะเราต้องเดินไป-กลับจากสถานีตลอดครับ อาจจะวันละ 1-2 รอบก็ขึ้นอยู่กับแผนการเทียวของเรา ตรงนี้ก็จะได้ระยะทางประมาณ 1.3 กม. ต่อ 1 รอบการเดินครับ ดูเหมือนไม่เยอะใช่ไหมครับ แต่จริงๆ ถ้าลืมของก็ต้องเดินไป-กลับจากสถานีรารวๆ 2.6 กม. เลยนะครับ แถมการขึ้นและลงสถานีก็ไม่ง่ายครับเพราะถ้าเราต้องการเอาลูกขึ้นลงสถานีต้องหาลิฟต์ซึ่งแต่ละสถานีที่เราไปมันก็อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้หาง่ายๆ เสมอไปครับ บางครั้งเราก็ต้องเดินวนหาหลายรอบเหมือนกัน หรืออาจจะเลือกลงบันไดเลื่อนธรรมดาก็ได้ครับ ซึ่งก็ต้องอุ้มลูกขึ้นๆ ลงๆ พับเก็บรถเข็นหลายรอบเหมือนกัน นอกจากนี้ก็พยายามอย่าเปลี่ยนที่พักบ่อยครับ จะเห็นได้ว่าจากทริปผมเปลี่ยนที่พักไปราวๆ 5-6 ทีรวมทั้งทริปได้การเก็บของและเปลี่ยนที่พักมันลำบากมากครับเพราะลูกเราก็ต้องดูกระเป๋าก็ต้องขน
ของลูกที่ต้องเตรียมไป
- เสื้อผ้า เราไม่รู้ว่าข้างหน้าอากาศจะเป็นแบบไหน หาแบบที่อบอุ่นไว้ก่อนดีกว่าครับ จะได้ไม่ป่วย ผมไปเดือนเมษาไม่รู้เลยว่าต้องไปเจอหิมะ และลูกจะไปเล่น วันนั้นเสื้อผ้าไม่ได้อบอุ่นพอ ลูกผมเลยป่วยครับ
- ยารักษาโรค
- นม (หากเราไม่ต้องการพกนมไปด้วย ที่ญี่ปุ่นมีนมเมจิครับ อร่อยมาก หอมๆมันๆ ฝึกให้ลูกกินนมสดตั้งแต่ที่บ้านก่อนไปประมาณ 2 อาทิตย์เป็นอย่างน้อยนะครับ เด็กจะได้ปรับตัวได้ง่าย)
- แพมเพิส (หาข้อมูลในเน็ตมีแต่คนบอกว่าหาง่ายแต่ไปถึงผมเดินหาที่ Sendai อยู่ 3 ชม. หาร้านขายไม่เจอเลยครับ เดินไม่ต่ำกว่า 20 ร้านได้รวมเซเว่นร้านสะดวกซื้อทั่วไปด้วย บังเอิญไปเจออยู่ร้านหนึ่งในรูปเลยครับ ห้างอิออน นั่นเอง แล้วคือป้ายเป็นภาษาญี่ปุ่น มองเข้าไปเหมือนร้านซักผ้า แต่เราก็ลองเดินมั่วๆ เข้าไปเพราะบังเอิญเห็นมีคนเดินถือถุงเหมือนถุงช้อปปิ้งออกมาครับ)
- ของใช้ทั่วไป
- ของเล่น
- กระเป๋าเป้แบกของสำหรับใช้บ่อยๆ
การเตรียมความพร้อมของลูก
- ฝึกนั่งรถเข็นเด็ก
- ฝึกนั่งเครื่องบิน (หาข้อมูลเกี่ยวกับการที่ลูกหูอื้อครับ ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร)
- ฝึกนั่ง Car Seat
- ฝึกนั่งรถไฟ
- ฝึกไม่อยู่บ้านหลายๆ วัน
สัมภาระ
ในตอนแรกว่าลงรายละเอียดเยอะมากแต่คิดไปคิดมามันเป็นประสบการณ์ที่แย่จริงๆ เพราะกระเป๋าผมเอาไป 2 ใบครับ อาจจะดูธรรมดาใครก็เอาไปใช่ไหมครับ แต่บอกเลยว่าแต่ละใบหนักมากๆ ครับ มี 1 ใบหนักถึง 30 โลครับ อีกใบราวๆ 20 โล และมีเป้อีกที่หนัก 7 โล เหนื่อยแค่ไหนถามใจเธอดู … ไหนจะรวมกับลูกอีกด้วยครับ ผมโชคดีที่ครั้งแรกนี้ไปกับเพื่อน เขาเลยช่วยขนครับ ถ้าไปกันสองคนผมว่าต้องมีทิ้งกระเป๋าแน่ๆ ครับ ตรงนี้ก็เลยอยากแนะนำว่าของลูก , ของพ่อ , ของแม่ มานั่งวิเคราะห์ให้ดีครับ ว่าอะไรมันจำเป็นไหม (ครีมน่ะบางทีไม่ต้องทามันสัก 10 วันหน้าก็ไม่แหกแน่ๆ จะขนไปทำไมเกือบๆ 3 โลได้ นี้บอกใคร 55+) ของผู้ชายผมก็แนะนำเลยว่ากางเกงยีนส์ 2-3 ตัวพอครับ ใส่ซ้ำไปเลยไม่ต้องซัก(แต่ที่โรงแรมเกือบทุกที่จะมีสเปยร์ดับกลิ่นครับฉีดมันเข้าไปที่รองเท้ากับกางเกงทุกวันเลย) ชุดนอน โรงแรมส่วนใหญ่เตรียมไว้ให้ครับ ถ้าไม่คิดมากก็ใช้ของเขาเถอะครับ ให้รวมไปเลยว่าชุดนอนชุดเทียวใช้แทนกันได้ และที่สำคัญไม่ต้องเอาไปเยอะครับ 5-6 ชุดพอ ไปซักเอาที่นู้นครับ แล้วตากในห้องน้ำแห้งแน่นอนเพราะห้องน้ำบ้านเขามันอุ่นมากๆ ครับ ผมเจอชุดที่ไม่แห้งข้ามคืนน้อยมากๆ โดยสัมภาระของผมที่เอาไปจะแยกให้ดูครับว่ามีกี่อย่าง
- กระเป๋าลาก 1 ใบ หนัก 30 โล
- กระเป๋าลาก 1 ใบ หนัก 20 โล
- กระเป๋าเป้ 1 ใบ หนัก 7 โล
- รถเข็น 1 คัน หนัก 5 โล
ทั้งหมดนี้เหมือนจะไม่มีปัญหานะครับ ถ้าเดินทางปกติ แต่จริงๆ แล้วเจอปัญหาช่วงหนึ่งครับคือตอนขึ้น-ลงรถไฟในญี่ปุ่นเขามีลิฟต์ครับ อย่างที่บอกเหมือนจะสะดวกมากครับแต่ความจริงแล้ว มันไม่ง่ายอย่างงั้นเพราะที่บางสถานีลิฟต์หายากมากๆ ครับ คือเราต้องเดินไปไกลมากๆ ถึงจะเจอลิฟต์หรือบางทีมันก็แยกโดดเดียวมาก บางทีก็ไม่มีป้ายบอก(หรือผมอาจจะมองไม่เห็นก็ได้)ด้วยครับ บางสถานีเขามีหลายชั้นด้วยนะครับ ถ้าเราลงลิฟต์บางทีเราก็ไม่รู้ครับว่าต้องลงชั้นไหนเพื่อไปขึ้นรถไฟที่เราต้องการได้ และบางทีในลิฟต์ก็ไม่มีเขียนเป็นภาษาอังกฤษครับ เลขชั้น, สถานที่เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันทำให้เราต้องตัดสินใจพับรถเข็น ลากกระเป๋า 2 ใบ แบกเป้อีก 1 เพื่อเดินขึ้นบรรไดเลื่อนแทนครับ ความบรรเทิงมันอยู่ตรงที่ลูกจะให้เราอุ้มลงนี้ละครับ แล้วผมซึ่งลากกระเป๋า 2 ใบ เป้ 1 อันก็อุ้มลูกไม่ได้ สุดท้ายใช้วิธีทิ้งกระเป๋าลากครับ เพื่อเดินขึ้นไปก่อนแล้วกลับก็เดินวนกลับมาเอารถเข็นอีกรอบยุ้งยากพอดูครับ เพราะเพื่อนไม่ได้ไปด้วยกันตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งถ้าเพื่อนไปด้วยเขาก็ช่วยเราอยู่แล้วน่ะครับ ซึ่งปัญหาพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นบ่อยถ้าไม่ย้ายที่พักบ่อยครับ ส่วนของผมน่ะหรอ 5-6 ที่เลย
อาหาร
ที่ญี่ปุ่นมีข้อดีคือมีข้าวขายในเซเว่นหรือร้านสะดวกซื้อทั่วไป ซื้อหากวันไหนเราเหนื่อยไม่อยากออกไปทานข้าวข้างนอก ไม่อยากเดินไปไหนก็ซื้อขึ้นมากินในห้องได้เลยครับ อาหารก็มีให้หลากหลายเหมาะสำหรับเด็กดีครับ ส่วนร้านอาหารทั่วไปก็สามารถเข้าไปทานได้เช่นกันครับแต่ต้องระวังหน่อยอย่าให้เด็กไปรบกวนคนอื่นครับ แล้วก็พยายามอย่าไปช่วงที่คนรีบกันหรือร้านที่มีคนเยอะจนเกินไป มันจะไม่สะดวกเท่าไรครับ เพราะเด็กต้องการเวลาในการกินอาหารครับ ลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน
การเตรียมความพร้อมของพ่อแม่
1. ต้องออกกำลังกายครับ โดยเน้นๆ เลยคือ ยกน้ำหนัก 10-20 โล , วิ่งหรือเดิน 5 กม. ขึ้นไป ก่อนไปเทียว 1 เดือน ทำไมต้องทำแบบนี้รู้ไหมครับ ตอนผมพาลูกเทียวนั้นนี้การออกกำลังกายเพียงเท่านี้ยังไม่พอเลยครับ ร่างกายแทบพังครับ เพราะเดินเยอะมาก อุ้มลูกด้วยครับเพราะเด็กอายุ 2 ขวบไม่ชอบนั่งรถเข็นเพียงอย่างเดียวครับ ซึ่งเท่าที่ผมเดินมาทั้งวันโดยมีลูกหนัก 12 โลและกระเป๋าเป้หนัก 7 โลผมเดินไหวสุดๆ ที่ 11 กม. ครับ Track จากโปรแกรม Samsung Health นอกจากนี้แล้วญี่ปุ่นทางเดินก็ไม่ได้ราบเรียบเหมาะกับการลากรถเข็นแบบสบายๆ เท่าไรครับ ต้องยกบ้าง ต้องเดินอ้อมไป ต้องยืนรอต่อคิวเพื่อข้ามถนน ทุกอย่างที่ว่ามานี้ถ้าเราไม่ออกกำลังกายทริปอาจจะจำเป็นต้องหดสถานที่เทียวลงมาครับ เพราะร่างกายเราไม่พร้อมจะพาเด็กไป
2. ค่าใช้จ่าย ในการเทียวบางครั้งจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดมาครับ ผมแนะนำให้พกบัตรเครดิตไว้ และต้องทำประกันการเดินทางไว้ด้วย ซึ่งแนะนำให้ดูให้ดีก่อนซื้อนะครับตรงนี้ ต้องเลือกที่จ่ายแล้วคุ้มครองเราได้เยอะระดับหนึ่งครับเพราะหากต้องเข้ารพ. ไม่มีถูกแน่ๆ เท่าที่ผมศึกษาดูประกันที่เด็กสามารถซื้อประกันได้มีของ MSIG ครับ
3. แผนการเทียว ในบางครั้งเราอาจจะต้องเปลี่ยนแผนการเทียวผมแนะนำให้ List สถานที่ที่เราต้องการจะไปเทียวมาใส่กระดาษไว้เลยครับ ถ้านึกไม่ออกว่าไปเทียวที่ไหนดีแนะนำให้เปิด Google แล้วพิมพ์ชื่อเมืองที่เราต้องการเทียวไปบน Google ครับ เช่นดังรูป
หลังจากค้นจะมี travel guide โผล่ขึ้นมาครับเท่าที่ลองถ้าใช้ Firefox บนคอมพิวเตอร์จะเห็นนะครับ ถ้าไม่เจอก็คลิก Link นี้ดูได้ครับ http://bit.ly/2TJHnBc
4. เตรียมกิจกรรมให้ลูกเล่นเวลาว่าง โดยตรงนี้ปกติอยู่บ้านผมไม่ได้ให้ลูกดูการ์ตูนบนมือถือหรือเแท็บเล็ตเลย ก็หาหนังสือให้เขาไประบายสี , สติกเกอร์ติดหนักสือ , ตัวต่อ , ของเล่นต่างๆ ที่เขาชอบ แต่อย่าเอาไปมากจนเกินไปครับเพราะที่ญี่ปุ่นก็มีให้เลือกซื้อเยอะเลย กาชาปองนี่ของชอบทั้งเด็กและผู้ใหญ่ครับ กดกันทุกวันเลย
5 . เช็คเอกสารก่อนเดินทางที่สำคัญๆ อย่าง Passport หรือใบขับขี่สากลหากต้องเช่ารถ โดย Passport ต้องเช็ควันหมดอายุ , เช็คชื่อว่าสะกดถูกต้องไหม และอย่าลืมพกติดตัวไปด้วยเด็ดขาดตอนไปสนามบิน ผมเคยเจอเคสหนึ่งคือตอนไปเทียวฮ่องกงพ่อมากับลูก 3 ขวบสองคน บอกว่าแม่มาด้วยไม่ได้เพราะ Passport กำลังจะหมดอายุในอีก 1 สัปดาห์ ส่วนใบขับขี่สากลแนะนำให้เช็คข้างในว่ามีปั๊มสองอันไหมดังในตัวอย่างไม่งั้นเขาจะไม่ให้เราเช่ารถครับ ที่เหลือก็เป็นการตรวจสอบทั่วๆ ไปเช่นวันเดินทาง, เวลาเดินทาง , ตั๋วถูกไหม ประมาณนี้ครับ เพื่อความไม่ประมาท
6. ประกันการเดินทาง ควรซื้อไว้อาจจะเลือกแผนที่คุ้มครองที่ดีกว่าแผนเริ่มต้นครับเพราะเราไปหลายวันซื้อแบบดีๆ จะคุ้มค่ากว่าเพราะที่ญี่ปุ่นค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างแพงมาก โดยที่มีคนใช้กันเยอะๆ ก็จะมี msig กับ simpo
โดยสรุปแล้วการพาเด็ก 2 ขวบเทียวญี่ปุ่นนั้นทำได้ครับ แต่จะเหนื่อยสุดๆ หากร่างกายเราไม่พร้อมหรือป่วยวันไปเทียวมันก็ยากมากที่จะดูแลลูกไหวเพราะขนาดไม่ป่วยก็จะเหนื่อยมากอยู่แล้วน่ะครับ โดยผมแนะนำเลยว่าถ้ามีเด็กให้พาไปไม่เกิน 10 วันรวมวันเดินทางจะดีสุดครับ และการเตรียมความพร้อมของเราจะต้องพร้อมมากๆ ข้อมูลก็ต้องแป๊ะๆ เลยด้วยครับไม่ควรเสียเวลากับการศึกษาเส้นทาง หรือวิธีการเดินทางตอนไปถึงแล้ว เพราะลูกเรานี้ละครับบังคับให้เราต้องเลือกให้เร็วที่สุด สุดท้ายทั้งสภาพร่างกายของเรา เด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเลยนะครับ ซึ่งจะทำให้แผนการเทียวของเราแต่งต่างกันไปได้ก็ลองดูได้ครับ หากในอนาคตมีโอกาสได้ไปที่อื่นอีกจะมาแชร์นะครับ