มีบทความเรื่อง “ปล่อยวาง” มาให้ได้อ่านกันครับ บทความนี้มาจากใน Facebook Fanpage ธนาคารความสุข (Happiness Bank) ครับ อ่านแล้วประทับใจกลัวหาไม่เจอถ้าต้องการอ่านอีกครั้ง เลยเอามาแปะไว้ในเว็บตัวเองครับ
ในบรรดาคำพูด คำสอนดีๆหลายๆคำ ที่มักมีคนบ่นว่า…พูดง่ายแต่ทำยาก
เห็นจะต้องนับคำว่า “ปล่อยวาง” ไว้ด้วยคำหนึ่ง
มีหลายโอกาสในชีวิตที่เราเจอโจทย์ยากๆจนใจทุกข์
เจอหน้าใคร เป็นต้องพูดเหมือนๆกันว่าให้เรา “ปล่อยวาง” ซะ
หลายคนพอได้ยินแบบนั้นจะรู้สึกว่า พูดน่ะพูดง่าย คิดน่ะคิดได้
แต่เวลาจะลงมือทำ จิตมันไม่เอาด้วยเลย
แปลกดีนะครับ ทั้งๆที่จิตก็ไม่มีมือนะ
แต่สามารถยึดจับอะไรๆไว้มากมาย
ถ้าเราความจำดีแล้วมองย้อนไปในอดีต เราอาจแปลกใจว่า
ที่ผ่านมา เราแบกสิ่งที่ปากพูดว่า “อยากวาง” ไว้มากมายขนาดไหน
ถามว่าเพราะอะไร คำอธิบายง่ายๆอันหนึ่ง คือ..
จิตเรามันไม่เคยชินที่จะปล่อย ที่จะวางครับ
ตั้งแต่เล็กแต่น้อย จิตเรามักถูกเราฝึกเราสอน
ให้แสวงหา ให้ยึดมั่นถือมั่นไว้
มากกว่าจะถูกสอนให้รู้จักปล่อยให้รู้จักวาง
ถามว่า… แล้วจะให้ทำยังไง
ตอบว่า… ก็เริ่มหัดฝึกจะทำเหตุให้จิตเคยชินจะปล่อย จะวางบ้าง
เริ่มจากสิ่งที่ทำได้บ่อยๆ อย่างทำทาน แต่ทำด้วยจิตตรง
ทำทานด้วยจิตตรง คือทำด้วยจิตที่ยินดีในการได้ “สละออก”
ไม่ใช่ทำเพื่อเสริมมานะ ว่าเราดี เราเลิศ เราประเสริฐที่ทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อให้ตัวเองรวย ตัวเองสวย ตัวเองได้ไปสวรรค์
ยิ่งถ้าสามารถทำอภัยทานด้วยใจ ไม่ใช่แค่ด้วยปาก
จะยิ่งได้ผลดีมาก เร็วมากครับ
เพราะอภัยทาน เป็นทานที่ต้องใช้ใจที่สูง
จะรวยล้นฟ้า ถอยซีรีส์เจ็ดเดือนละสิบเอ็ดคัน ก็อาจทำไม่ได้
ถ้าคุณภาพจิต คุณภาพใจไม่สูงพอจะสละความยึดมั่น
ว่าฉันดี ฉันถูก เขาเลว เขาผิด
ฝึกให้อภัยทานทุกวันวันละสามเวลา
แล้วจะพบว่าจิตแบกปัญหาน้อยลง
วิธีต่อมาคือการเรียนรู้จักตัวเอง ด้วยสติ
คนที่มีสติ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ด้วยจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง จะเกิดปัญญาเป็นโบนัสครับ
ปัญญามาจากการรู้เห็นความจริงว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับ
คงอยู่อย่างเดิมถาวรไม่ได้ บังคับสั่งตามใจอยาก ก็ไม่ได้
จิตที่มีปัญญา จะเริ่มเห็นความจริงตรงนี้
ใจก็จะเบาคลาย หายจากความโง่ทีละนิดละหน่อย
ไม่ยึดมั่นถือมั่นคาดคั้นเอาเป็นเอาตายเหมือนแต่ก่อน
ใครจะตอบโจทย์ ไม่ตอบโจทย์ ก็เรื่องของเขา
เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจสิ่งที่เขาคิด ไม่เป็นไร
แต่ถ้าอภัยให้เขาได้ เข้าใจได้ว่าโลกมันเป็นแบบนี้แหละ ใจเราก็สงบ
บางคนเถียงว่า อย่างดิฉัน ชีวิตนี้ไม่มีทางทำได้
งั้นก็แบกต่อไปนะครับ หนักเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เอง
เคยมีคนไปส่งการบ้าน ถามครูบาอาจารย์ว่า
ใจทุกข์มากแต่ก็ขี้เกียจยังไม่อยากภาวนา
ท่านตอบยิ้มๆว่า… จิตยังทุกข์ไม่พอ ก็ทุกข์ซะให้พอก่อนนะ
ทุกข์พอแล้ว ทนไม่ไหว เดี๋ยวจะขยันภาวนาเอง
เหมือนคนเห็นไฟไหม้ใกล้ๆ บ้านตัวเอง
ถ้ายังคิดว่าคงไม่ถึงบ้านเราหรอก ก็จะไม่ค่อยเดือดร้อน
ไม่สนใจดิ้นรนจะขนของ จะดับไฟ
แต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นว่าไหม้แน่ วายวอดแน่ นั่นแหละ
จะรีบลุกมาจัดการดับไฟ ย้ายของอุตลุด
แต่จะทันไม่ทัน อันนั้นอีกเรื่องนะ : )
สุขสันต์วันที่จิตยังปล่อยบ้าง จับบ้างครับ