ตำนานรักของตาลอบและยายทอง ผ่านบทเพลง คนไม่มีเวลา ว่าน ธนกฤต

ตำนานรักบทนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ.. ตาลอบซึ่งเป็นช่างตัดผม ที่ไม่ได้มีฐานะที่ดีอะไรพบรักกับยายทอง แม่ค้าขายกับข้าวสาวงามของหมูบ้านในงานรำวงสร้างโบสถ์ ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน เมื่อเวลาผ่านไป 6 ปี ตาลอบจึงขอยายทองแต่งงาน เป็นการแต่งงานที่เรียบง่าย ไม่ใหญ่โต ไม่มีสินสอดทองหมั้นมากมาย มีเพียงแต่คำมั่นสัญญาว่า  “จะครองรักและดูแลกันตลอดไปจนกว่าวันสุดท้ายจะมาถึง”

แต่เมื่อปี 2538 ยายทองก็ล้มป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ และ 6 ปีต่อมา ทรุดหนักจนกลายเป็นอัมพาต จนไม่สามารถพูดคุยหรือช่วยเหลือตัวเองได้ ทำได้เพียงแค่ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านสีหน้า และการร้องไห้เท่านั้น “ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้ เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว บางทีก็บอกยายว่า เราจะอยู่กับเธอ จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน… ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน”

ตาลอบ ยายทอง

ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะผ่านมานาน… นับ 50 – 60 ปี ในบั้นปลายชีวิตจะถูกแทนด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ตาลอบก็ยังรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับยายทองไม่ลืมเลื่อน… ตานั้นได้มอบทุกวินาทีของชีวิตทุ่มเท่ดูแลยายอย่างใกล้ชิด แม้ยามหลับหรือยามตื่น

ตาดูแลยายโดยจะไม่ใส่แพมเพอร์สให้ยาย เพราะเกรงว่าจะอับชื้นและเป็นแผลกดทับได้ ตาไม่เคยเบื่อเลยที่จะต้องคอยเช็ดฉี่ เช็ดอึ ให้ยาย เสื้อผ้าของยายตาก็จะไม่ซักผงซักฟอก เพราะกลัวยายจะแพ้เป็นผื่น ซึ่งตาจะใส่ใจรายละเอียด เล็กๆ น้อยๆ

ตามักจะพายายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยจักรยานที่มีเตียงพยาบาลของยายพ่วงติดอยู่ด้านหน้า มีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝน มีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ ซึ่งตาเป็นคนประดิษฐ์ขึ้นมาเอง

“ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่าจะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมดเลย เพราะว่ายายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่า ยายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง เพราะความหวังนี่แหละที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไปจนกว่าจะตายจากกัน ไปข้างหนึ่ง”

คนไม่มีเวลา

ยายทอง จากไปอย่างสงบด้วยวัย 71 ปี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2553 เวลา 11.00 น. ตลอดระยะเวลา 50-60 ปีที่ชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานั้น ไม่เคยมีวันไหนที่ความรักจะลดน้อยลงไปตามกาลเวลา แต่กลับเพิ่มพูนขึ้นสวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยราลงไป..

ตำนานรัก ตาลอบ ยายทอง

บทความนี้ถูกเรียบเรียงและตัดต่อขึ้นมาใหม่ โดยอ้างอิงจาก..

รักแท้ คือ “เธอ” ใช่ไหม..

บทความนี้ได้คัดลอกมาจากในเว็บ pantip ซึ่งเขาก็บอกว่าเป็น FW เมลมาอีกท่อนหนึ่งครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่เรียกน้ำตาได้เลยครับ บทความนี้ยาวมากๆ แต่ก็อยากให้ทุกท่านที่ได้เห็นลองอ่านดูครับ รักแท้ คือ “เธอ” ใช่ไหม.. เป็นเรื่องราวความรักของป้อง ผู้ชายที่รักผู้หญิงสองคนพร้อมๆ กัน แต่.. ท้ายที่สุดเขาก็ต้องเลือกคนใดเพียงหนึ่งคนเท่านั้น..

ช่วงที่หนึ่ง

ผมเป็นคนต่างจังหวัด ได้มาทำงานอยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่ผมอายุ 20 ปี แล้วพอผมเริ่มมีรายได้ ผมก็ได้สอบ เข้าศึกษาต่อที่สถาบันแห่งหนึ่งจนจบปริญญาตรี แล้วผมก็มี โอกาสได้ทำงานที่ดีๆ เป็นหัวหน้างานที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ทำงาน เก็บเงิน ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แล้วก็เรียนจบ มาได้ด้วยตัวเอง ผมจึงมีเงินเก็บอยู่พอสมควร แล้ววันหนึ่งเพื่อนผมก็แนะนำให้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ “ พลอย” พื้นเพของเธอเป็นคนต่างจังหวัดเช่นเดียวกันกับ ผม เธอเรียนจบแค่ ม.6 เธอนิสัยดี เงียบๆ ไม่แต่งตัว เธอเป็นคนอ่อนโยนมากในสายตาผม แล้วเธอก็ ชอบ ผม ผมคิดว่าเธอนี่แหละที่เหมาะสมกับผม เพราะ ผมไม่ชอบผู้หญิงแต่งตัวเก่ง ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ผมไปมาหาสู่และคบหากับเธอมานานเกือบสองปี เธอดูแล เอาใจ ใส่ผมดีมาก เธอปรนนิบัติผม เหมือนผมเป็น คุณชาย เธอบอกผมว่าบ้านเธอที่ต่างจังหวัดจนมาก พ่อแม่มีลูก 7 คน เธอเป็นคนที่ 3 เรียนจบได้ถึง ม.6 นับว่าโชคดีมากแล้ว เธอทำงานเป็นพนักงานรายวัน ที่ โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ผมขับรถไปส่งเธอทำงานทุกวัน เธอถามผมว่า ผมไม่อายคนอื่นเหรอ ที่มี แฟนเป็นแค่พนักงานรายวัน เธอมักพูดเสมอว่าผมกับ เธอไม่เหมาะสมกัน เธอบอกว่าผมน่าจะเจอคนที่เพียบพร้อมและเหมาะสมกับผม ถ้าผมไปเจอใครคนนั้น แล้ว ก็ให้บอกเค้า เค้ายินดีให้ผมไป ผมซาบซึ้งใจกับ สิ่งที่เธอคิดและพูดออกมา มากๆ มันยิ่งทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า ผมไม่มีวันทิ้งเธอแน่นอนต่อให้ผมไปเจอ ใครที่ดีกว่าเธอแค่ไหนก็ตาม ผมไม่สนใจครับ ผมรักเธอ เพราะเธอดูแลผมและรักผมมาก ผมไม่มีวันอายใคร เพราะตัวผมเองก็ไม่ชอบชีวิตที่หวือหวา ผมกินง่ายๆ นอนง่ายๆ นั่งรถประจำทางไปโน่นไปนี่ ผมมีเงินเก็บเยอะมากพอที่จะดูแลเธอได้ เราอยู่กันอย่างมีความสุขตลอด 2 ปี ผมกับเธอไม่เคยทะเลาะ กันเลย ผมสงสารเธอ เลยให้เธอย้ายมาอยู่กับผมจะได้ ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้อง เราอยู่กินกันเหมือนสามีภรรยาโดยที่บ้านเราทั้งคู่ต่างรับรู้ แล้วกะว่าอีกสองปีคง ได้แต่งงานกัน ทุกอย่างเหมือนจะลงเอยด้วยดี…

เรื่องมันเริ่มต้นตรงนี้ครับ ผมทำงานที่นี่มาสองปีพอๆ กับช่วงเวลาที่ผมคบกับพลอย วันหนึ่งผมได้ยินเขาลือ กัน ว่ามีหัวหน้าบัญชีคนใหม่เข้ามาอายุยังไม่เยอะ แต่ได้เป็นหัวหน้าแล้ว และที่สำคัญเธอเป็นคนที่สวยมาก เธอชื่อ “น้ำ” ผมฟังแล้วก็หัวเราะแล้วพูดกับพวก ลูกน้องว่า บริษัทเรายังมีคนสวยอีกเหรอวะ หนุ่มๆ ทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่พากัน ตื่นเต้น ฮือฮากันใหญ่ ดูครึกครื้นกันเลยทีเดียว ผมก็เฉยๆ นะ คนสวยเหรอ ก็ แค่ สวย ไม่เห็นจะชอบเลย จนวันนึงผมเห็นเธอเดิน ผ่านมาที่โต๊ะผม ผมรู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่าง เธอไม่ใช่คนสวย แต่เธอดูดีมาก แต่งตัวเนี๊ยบ ดูโดดเด่น กว่าใคร แล้วก็มีเสน่ห์มากๆ ผมแอบมองเธอทุกวัน แล้ววัน หนึ่งเธอก็เข้ามาติดต่องานผม ผมรู้สึกใจผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ทำอะไรประหม่าไปหมดเลย เธออมยิ้มที่เห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ของผม ส่วนผมเหรอ เธอถามอะไร ผมก็ตอบๆๆ เธอไป แต่ไม่กล้ามองหน้าเธอ แล้วเธอก็เดินกลับไป หลังจากนั้นเธอก็ส่ง mail มาคุยกับผมเรื่อยๆ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยกล้าคุยหรอก ผมคิดว่าเธออยู่สูงเกินไป ผมคงไม่ใช่คนที่เธอสนใจหรอก แต่เธอก็ส่งเมลล์มาถามโน่นถามนี่กับผมประจำ หลังๆ มาเราเริ่มส่ง mail คุยกันมากขึ้น แล้วเราก็เริ่มนัดกันไปกินข้าว ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่กัน

กำลังสงสัยกันใช่มั้ยครับว่าผมเอาแฟน ผมไปไว้ไหน แฟนผมเธอทำงานเป็นพนักงานรายวันต้องเข้ากะ มัน ทำให้ผมมีเวลา ว่างมากพอที่จะไปไหนมาไหนกับน้ำ น้ำ เป็นคนเก่ง ร่าเริง เวลาเธอยิ้มแล้วเหมือนทั้งโลกหยุดหมุน ผมชอบมองเธอเวลาเธอยิ้ม ผมเอาใจเธอ ทุกอย่าง สารพัด ประหนึ่งเธอเป็นเจ้าหญิง เธอบอกว่าไม่ต้องทำขนาด นั้นก็ได้ เธอเกรงใจ แต่ผมบอกเธอว่า ผมอยากทำให้เธอมีความสุข เธอยิ้มแล้วก็บอกว่า “วันไหน ป้อง เบื่อแล้วบอกน้ำนะ เพราะที่ป้องทำให้น้ำทุกอย่างอ่ะ น้ำก็ทำเองได้ เพียงแต่ว่าน้ำเห็นป้องทำแล้วป้องดูมีความสุข น้ำก็มีความสุขที่ได้รับค่ะ” ผมบอกกับเธอว่า ผมไม่มีวันเบื่อ หรอก เราไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่กันบ่อยมาก เวลาว่างที่ผมมีทั้งหมด ผมทุ่มเทให้ น้ำจนผมแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ผมรับรู้ได้เลยว่าผมเริ่มเฉยชากับพลอย ผมกลับมาบ้านผมเห็น หน้าพลอยผมก็รู้สึกผิดในใจ แล้วก็ที่รู้สึกแปลกๆ ไป คือ ผม ไม่อยากกอดพลอย แต่พลอยเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่เคยระแวงสงสัยอะไรในตัวผมเลย เธอยังคง ปรนนิบัติผมเป็นอย่างดี ไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด ส่วนผมว่างปุ๊บ ก็รีบไปหาน้ำปั๊บ น้ำขี้อ้อนมาก เธอน่ารักเวลาอยู่ที่ทำงานเธอจะวางตัวเป็นผู้ใหญ่นิ่งๆ แต่เวลาอยู่กับผม เธอเหมือนเด็ก ช่างพูด แล้วก็โรแมนติก เธอทำให้ผมทึ่งในตัวเธอมากๆ เธอทำได้ทุกอย่าง เธอวาดรูปเก่งเจ้าบทเจ้ากลอน ร้องเพลงเพราะ เล่นกีตาร์ เปียโน ตีขิม รำไทย ทำ กับข้าวเก่ง ฉลาด แล้วก็เป็นคนโรแมนติกมากๆ

บางครั้งผมกลับมานั่งคิดดูนะ ว่า ผมกับเธอไม่เหมาะสมกันหรอก เธอสูงเกินไป เรียกได้ว่า เพอร์เฟคเลยทีเดียว อีกหน่อยถ้าเธอเจอ คนที่เค้าเพียบพร้อมแล้วก็เอาใจเธอมากกว่าผมเธอคงทิ้ง ผมไป ผมกลัวว่า ผมจะทำอะไรไม่ถูกใจเธอผมกลัวว่าเธอจะร้อน ผมกลัวว่าเธอจะหิว ผมกลัวว่าเธอจะเหนื่อย ผมระแวง ทุกอย่าง กลัวน้ำเค้าลำบาก แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือ “รอยยิ้ม” เสมอ ซึ่งผม เห็นแล้วก็หายเหนื่อยแต่ลึกๆ ยิ่งคิดแล้วผมก็ยิ่งกลัว ผมกลัวว่าวันหนึ่งผมไม่ได้ดูแลเธอเหมือนตอนนี้ แล้วเธอจะเป็นยังไง เพราะงานผมจะมีช่วงที่ต้องออกต่างจังหวัดบ่อย เหมือนกัน ผมคิดไปต่างๆนานาจนเครียดผมไม่กล้าคิดกับน้ำมากเกินไปกว่านี้ ผมเจียมตัวผมเองครับ พลอยคือคนที่ผมพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ผมไม่ต้องกลัวโน่นกลัวนี่ มีแต่พลอย ที่กลัวว่าวันหนึ่งผมจะไปจากเธอ พลอยไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผมเลย เธอบอกแค่นี้เธอก็มีบุญมากพอ แล้วที่ ได้ผมเป็นแฟน ผมยิ่งย้ำเตือนตัวเองมากขึ้น ว่าพลอยคือคนที่ใช่ของเรานะ น้ำ คือคนที่อยู่สูงเกินไป ผมเตือนตัวเองทุกวันแต่หัวใจผมมันไม่หยุด มันยังรั้นแล้วก็ดื้อดึง ผมไปหาน้ำตลอด เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง สิบยี่สิบนาที มีค่ามากสำหรับผมกับน้ำ เราใช้เวลา อยู่ด้วยกันคุ้มค่ามาก ระยะเวลา 3 เดือนที่ได้พูดคุย รู้จัก คบหากับน้ำ ไปไหนมาไหนกัน มันเต็มไปด้วย ความทรงจำที่ดี และความสุขที่สุดในชีวิต จนบางครั้งผมเผลอคิดไปว่าผมกับน้ำ เป็นแฟนกัน เพราะสิ่งที่เราแสดงออกต่อกันมันเป็นเช่นนั้น จนผมจำไม่ได้แล้วว่าความสุขของผมกับพลอย อยู่ที่ไหน ในหัวสมองผมมีแต่น้ำ น้ำ แล้วก็น้ำ Continue reading “รักแท้ คือ “เธอ” ใช่ไหม..”

คนอดทนคือคนโชคดี

ในการที่จะได้สิ่งที่ต้องการ สิ่งหนึ่งที่เราลืมตระหนักไปก็คือว่า บางครั้ง เราไม่สามารถได้ในสิ่ง ที่เราต้องการ ในเวลาที่เราอยากจะได้ บางครั้งสิ่งที่ดีที่สุดที่เรา จะทำได้ในการจะได้สิ่งที่ต้องการคือ   รอ ! นั่นคือ รอ.. เวลาที่เหมะสม

แล้วทำงานอย่างอื่นไปก่อน หรือตามความผันอื่น ที่ทำให้คุณมีความสุขและเกิดแรงบันดาลใจ  (เหตุผลนี้ ทำให้ผมมีความฝันหลายอย่างในเวลาเดียวกัน *  เพราะเรียนรู้จากประสบการณ์ว่า ความฝันบางอย่าง เราจำเป็นต้องปล่อยวางไปสักพัก เพราะยังไม่ถึงเวลาของมัน)

นั่นไม่ได้หมายความว่าเราขี้เกียจ รอปาฎิหาริย์ หรือรอโชค แต่บางครั้งเราสู้สุดฤทธิ์แล้ว พยายามทุกวิถีทางแล้ว มันก็ยังไม่สำเร็จสักที มองไม่เห็น “แสงสว่างปลายอุโมงค์” เลย

หมายความว่า ยังไม่ถึงเวลาของมัน เราต้องใช้ ความอดทน มากหน่อย ถ้าเวลาไม่เหมาะสม บางสิ่งที่คุณได้ไปก็ไม่มีประโยขน์

ถ้าคุณได้ตำแหน่งที่สูง ในเวลาที่คุณยังไม่พร้อม หรือมี “กับดัก” ล่ออยู่ แต่คุณไม่ทราบ ในตอนนั้น มีหลายครั้ง ที่ผมพลาดตำแหน่งที่ต้องการให้กับคนอื่นไป

ตอนแรกก็รู้สึกเสียใจ แต่พอเห็นเขาต้องออกจากงานนั้นภายในเวลาอันสั้น เพราะสถานการณ์ที่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของเขา เช่น  นัก ดนตรีสไตรค์ เป็นเวลาหลายๆ เดือน

ออร์เคสตราล้มละลาย หรือเขาทะเลาะกับเจ้านายทำงานด้วยกันยาก ทำให้ผมรู้สึก “โชคดี” ที่ไม่ ได้งานนั้น และก็รู้สึกว่า จริงๆ แล้ว ความอดทนก็มีค่าในตัวของมันเอง

คนที่ “ร้อนรน” ไม่มีความอดทน โกรธ หมดหวัง จะดึงดูด “โชคดี” เข้ามาหาไม่ได้ ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ หรืออยากจะช่วย คนที่ทำตัว “สบายๆ” น่าคบ ยิ้มแย้มแจ่มใส อดทน

ทำให้คนอื่นสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ หรือทำธุรกิจด้วย สามารถที่จะมีโชคมากกว่า เพราะว่า “โชคดีของคุณ จะมาจากผู้อื่น”

มีหลายคนที่ไม่ เข้าใจดีเรื่อง กฎแห่งแรงดึงดูด ก็จะบ่นว่า ทำตามที่หนังสือบอกแล้ว แต่ไม่เห็นได้รับเลย

บาง ครั้งสิ่งที่เราต้องการ จะไม่เกิดขึ้นในเวลาที่เราต้องการ แต่พอเรา “ไม่สนใจ” มันไปสักพัก ไปทำอย่างอื่นที่น่าสนใจและให้แรงบันดาลใจกับเรามากกว่าในตอนนั้น สิ่งที่เราต้องการกลับวิ่งเข้ามาหาเราเองโดยไม่รู้ตัว

มีคนเคยถามแฮริสัน ฟอร์ดว่า ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้ เขาตอบว่า “ ความอดทน” ทั้งอธิบายต่อว่า “ในวงการณฮอลลีวูด มีนักแสดงหลายคนที่อยากจะมีชื่อเสียง บางคนก็ล้มเลิกไปกลางคัน เพราะมองไม่เห็น “แสงสว่างปลายอุโมงค์” ผมไม่ได้วิเศษอะไร เพียงแต่ผมเป็น คนสุดท้ายที่ยืนอยู ในเวลาที่คนอื่นเขาเลิกกันไปหมดแล้ว”


จาก หนังสือกฏแห่งความโชคดี

คู่แข่ง คือ ครูคนสำคัญ

อาจารย์สอนยูโดชาวญี่ปุ่นอายุปูนปัจฉิมวัยคนหนึ่ง ชวนลูกศิษย์หนุ่มชาวอเมริกันเดินทอดน่องไปตามชายหาดยามเย็น ช่วงหนึ่งของการสนทนา อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดสองเส้นคู่ขนานลงไปบนผืนทรายขาวละเอียด เส้นหนึ่งยาวประมาณ 5 ฟุต อีกเส้นยาวประมาณ 3 ฟุต

“เธอลองทำให้เส้นที่ยาว 3 ฟุตยาวกว่าเส้นที่ยาว 5 ฟุตให้อาจารย์ดูหน่อยซิ”

เสียง อาจารย์บอกเป็นเชิงท้าทายอยู่ในที ลูกศิษย์อเมริกันหยุดคิดพินิจเส้นทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เผยยิ้มที่ริมฝีปากเหมือนค้นพบคำตอบ เขาบรรจงใช้เท้าข้างหนึ่งค่อย ๆ ลบรอยเส้นตรงที่ยาวประมาณ 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือนิดเดียว โดยวิธีนี้เส้นที่ยาวราว 3 ฟุตจึงโดดเด่นขึ้นมาแทน ลบเสร็จเขาเงยหน้าสบตาอาจารย์พลางขอความเห็น

“เช่น นี้ใช้ได้หรือยังครับ”

ผู้เป็นอาจารย์ใช้ไม้เท้าเคาะ ศีรษะเขาเบา ๆ 1 ทีก่อนบอกว่า

“ใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้ม เหลว รู้ไหมคนที่คิดจะยกตัวเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้นไม่สู้ฉลาดเลย ทางที่ดีจงยกตัวเองขึ้นแต่อย่าลดคนอื่นลง”

ว่าแล้วอาจารย์ก็ขีด เส้นทั้งสองใหม่ แล้วสาธิตให้ดูโดยการปล่อยเส้นที่ยาว 5 ฟุตไว้อย่างเดิม แต่ขีดต่อเส้นที่ยาว 3 ฟุตให้ยาวขึ้นไปเป็น 10 ฟุต ฝ่ายลูกศิษย์ยังคงกังขา

“คู่แข่งของเธอไม่ใช่ศัตรู แต่คือครูของเธอ และเขา คือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม เธอลองคิดดูหากไร้เสียซึ่งคู่แข่ง เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ เธอจะรู้จักความสวยงามได้อย่างไร ไม่มีน้ำขุ่น มีหรือเธอจะรู้จักน้ำใส คู่แข่งของเรายิ่งเก่ง ยิ่งฉลาดล้ำ ก็จะทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น นักสู้ที่ดีนั้นเขายืนหยัดอยู่ในสังเวียนได้เพราะมีคู่แข่งที่เข้มแข็ง คู่ต่อสู้ที่อ่อนแอทำให้เราเป็นผู้ชนะ แต่ชัยชนะนั้นมักไม่ยืนยง

“คน ที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำได้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้ายได้อย่างเต็มภาคภูมิ จงดูความสำเร็จของนักการเมืองที่ใช้เงินซื้อเสียงเข้าสภาเป็นตัวอย่าง แล้วเธอจะตอบได้เองว่าการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรมกับการ เลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรี นั้นมีผลลัพธ์ต่างกันเพียงไร

“การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจชนะแต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม เลื่อนตัวเองขึ้น แต่ไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะพร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย วิธีไหนจะดีกว่ากัน”

ขอบคุณบทความจาก คุณ สาวิกา คู่แข่ง คือ ครูคนสำคัญ

การลากเส้นต่อจุด By Steve Jobs

Apple

สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch

โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ปี 2005 ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้

สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก

บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6 เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด

แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่า พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย

กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย

17 ปีต่อมา Jobs ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยง ดู เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต

แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งใน ชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขา ไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้

แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna

อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)

Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม

ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่) จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs ก็คือ คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่

บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า 4,000 คน

แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต

แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า การถูกอัปเปหิจาก Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการ เป็นมือใหม่อีกครั้ง และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา

ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple

Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น

วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย

แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่าง ละเอียด ก็กลับพบว่า มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว

นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติ ว่า ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ

ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะ พาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร

(“Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life. Don’t be trapped by dogma — which is living with the results of other people’s thinking. Don’t let the noise of others’ opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.”)

Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่ม หนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ “จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา

Steve Jobs’ 2005 Stanford Commencement Address

Steve Jobs’ 2005 Stanford Commencement Address (Thai Sub Title)

Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548
แปลและเรียบเรียงโดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
ขอบคุณบทความจาก Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch

ออมกับตัน บทความโดยคุณตัน ภาสกรนที

ออมกับตัน

ออมกับตัน ทุกงานเลี้ยงย่อมต้องเลิกราไม่ว่างานเลี้ยงเหล่านั้นจะสนุกสนานสร้างความสุขให้เราและคนรอบข้างซักเท่าไรก็ตาม ก็คงเป็นเช่นเดียวกับการทำงานของผมที่บริษัท โออิชิกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แทบทุกวันที่ผมเดินเข้าออกบริษัทฯ เพื่อไปทำงานหมายถึงการใช้เวลาอยู่ร่วมกับพนักงานทุกระดับชั้นกว่า 5,000 คนจนกลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น แต่ในที่สุดก็เดินทางมาถึงวันลาจากจนได้

ในคืนวันนั้นพนักงานจัดงานเลี้ยงอำลาให้กับผม แม้จะพอคาดเดาบรรยากาศของงานมาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง แต่พอถึงวันสุดท้ายจริงๆ ผมเองกลับไม่ได้เตรียมพร้อมกับน้ำตามากมายของพนักงานในคืนนั้น ผมคิดว่าน้ำตาของพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความเสียใจเพราะผมก็ไม่ได้หายไปไหนก็ยังวนเวียนอยู่ในธุรกิจให้พวกเขาได้เห็นหน้าเหมือนเดิม แต่มันคือน้ำตาแห่งความผูกพันของสมาชิกในครอบครัวที่เรามีให้กันมาตลอด 11 ปีเต็ม งานเลี้ยงที่แสนประทับใจร่วมกับความสามัคคี ทุ่มเทกายใจของพนักงานทั้งหมดที่มอบให้ผมมาตลอด มันเป็นของขวัญชิ้นโตที่พวกเขามอบให้

และผมเองก็ตั้งใจที่จะมอบของขวัญชิ้นพิเศษให้กับพนักงาน… ผมเตรียม “กระปุกออมกัปตัน” ไว้เป็นของขวัญให้พนักงานทุกคนของผมในคืนนั้น ที่กล่องใส่กระปุกมีข้อความว่า "จำได้ไหม สมัยเด็กๆ ที่คุณหยอดกระปุกเพื่อเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่หนอมันจะเต็ม พอถึงวันที่กระปุกเต็มแล้วต้องทุบ ทั้งดีใจที่จะได้ของเล่นใหม่ แต่ก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก การออม.. ทำให้เราสุขใจ ปลอดภัย และมั่นคง แต่การใช้เงิน สร้างสุขได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว ความเต็ม ไม่วัดด้วยมูลค่าของเหรียญที่หยอดลงไป แต่อยู่ที่ความสม่ำเสมอและความตั้งใจจริง"

ผมอยากบอกพวกเราทุกคนว่า การออมเหมือนเป็นการฝึกจิตใจ ฝนนิสัย ให้มุ่งมั่นตั้งใจจนบรรลุเป้าหมาย ลองเริ่มต้นจากความสำเร็จเล็กๆ ด้วย กระปุกกัปตันใบนี้ ผมเชื่อว่าต่อไปไม่ว่าเรื่องไหนๆ เราก็สามารถทำให้สำเร็จได้ กระปุกอ้วนๆ หลายสีเหล่านี้ดูผ่านๆ มันคงเหมือนกระปุกออมสินทั่วไป หากแต่ความตั้งใจจริงของผมมีมากการออมเงิน ผมทำมันขึ้นมาเพราะต้องการให้กระปุกออมกัปตันเป็นสัญลักษณ์ของการมุ่งมั่นทำอะไรอย่างสม่ำเสมอเพื่อไปให้ถึงฝันของคุณที่ตั้งใจไว้

ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มหยอดเหรียญลงกระปุกให้เป็นความจริงขึ้นมา มีคนถามผมตลอดเวลาว่าทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งประหยัด ทั้งขยัน ทั้งอดทนต่อสู้ทำตามแบบอย่างที่คนประสบความสำเร็จทำมาแล้วทุกอย่าง แต่ทำไมธุรกิจของเขาถึงยังล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่า คำตอบที่ผมมักจะพูดไปก็คือ “เพราะคุณยังทำไม่พอไงล่ะครับ” การจะประสบความสำเร็จได้ อยู่ที่การทำอย่างสม่ำเสมอ ทำมันอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไม่ยอมท้อถอย ทุกคนล้วนต้องเจออุปสรรคไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง แต่บางคนเจอครั้งเดียวก็เลิกแล้ว ในขณะที่บางคนยังกัดฟันสู้ต่อเจอครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ยังไม่ยอมแพ้แต่พอมาถึงครั้งที่ห้าสิบกลับถอดใจไปตรงนั้น กฎของการประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ไม่ได้อยู่ที่คุณคิดได้ก่อนใคร คุณเริ่มทำก่อน หรือใครทำมากกว่า แต่ทั้งหมดคือการมุ่งมั่นทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ยอมแพ้ ก็เหมือนกับการหยอดกระปุกไงครับ ไม่ว่าคุณจะหยอดครั้งละหนึ่งร้อยบาท หรือจะหยอดครั้งละบาท ถ้าคุณหยอดมันทุกวันมันก็ต้องเต็มจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทำธุรกิจก็เหมือนกัน…ถ้าใส่ความพยายามและความอดทนเข้าไปในชีวิตทุกวัน คุณก็มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จเข้าซักวัน ไม่มีใครหลุดจากกฎนี้ไปได้เว้นเสียแต่ว่าคุณจะหยุดทำแค่นั้นเองครับ

โดยคุณตัน ภาสกรนที

ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย

War

บาดแผลสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา —ในอดีตที่ผ่านมา มีสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ที่ได้รับการขนานนามว่า “สงครามที่พี่น้องฆ่ากันเอง” นั่นคือสงครามกลางเมืองในประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2404  เพราะญาติพี่น้อง มิตรสหายที่เป็นคนอเมริกันเหมือนกัน ต่างแบ่งเป็นสองฝ่าย จับอาวุธปืนเข้าประหัตประหารกันเอง

ประธานาธิบดีของทั้งสองฝ่ายก็เกิดในรัฐเคนทักกี้ด้วยกัน  ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นที่อยู่ฝ่ายเหนือก็มีพี่เขยเป็นทหารของฝ่ายใต้ถึง 4 คน และ 1ใน4 ของทหารที่จบจากโรงเรียนนายร้อยเวสปอยต์ก็เป็นนายทหารของฝ่ายใต้

สงครามดำเนินไปประมาณสี่ปี คนอเมริกันฆ่ากันตายไปประมาณ 6 แสนคน ไม่นับรวมคนบาดเจ็บที่ต้องตัดแขน ตัดขาอีกหลายแสนคน กว่าฝ่ายใต้จะประกาศยอมแพ้ มากกว่าทหารสหรัฐอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามโลกทั้งสองครั้งและสงคราม เวียดนามรวมกัน

และเป็นสัดส่วนการตายที่สูงมาก เมื่อคิดจากประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกาขณะนั้นที่มีประมาณ 30 ล้านคน และค่าเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3แสนล้านบาท (มูลค่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน)

ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมืองครั้งร้ายแรงที่สุดของประเทศนี้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคิดว่า เมื่อตอนเริ่มเกิดสงครามใหม่ ๆ เหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตและสร้างความย่อยยับให้กับประเทศถึงเพียงนี้

บรรยากาศทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ระหว่างประชาชนของรัฐฝ่ายเหนือกับรัฐฝ่ายใต้ที่สะสมกันมานานหลายสิบปี

รัฐทางเหนือมีประชากรประมาณ 22 ล้านคน เป็นคน มีรายได้จากการประกอบอุตสาหกรรมเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานทาส ขณะที่รัฐทางใต้มีประชากรประมาณ 9 ล้านคน ส่วนใหญ่มีรายได้จากการทำเกษตรกรรม จึงต้องใช้แรงงานทาสเพื่อการเพาะปลูก

คนทางใต้มักเป็นผู้ดีเก่าที่อพยพมาจากยุโรป เป็นเจ้าของที่ดินมหาศาล มีความภูมิใจว่าเป็นผู้สร้างชาติมาตั้งแต่แรก  และมักดูถูกพวกคนทางเหนือว่าเป็นพวกนายทุน พวกคนรวยรุ่นใหม่  แต่อดีตเคยเป็นชนชั้นต่ำมาก่อน

แต่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศใช้ในปีพ.ศ. 2330 ได้ระบุว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน จึง ได้เขียนไว้ในบทเฉพาะกาลว่า “อเมริกาจะต้องเลิกการค้าทาสให้หมดไปภายในกำหนด 21 ปี” พอครบกำหนด รัฐบาลกลางได้ออกกฎหมายเลิกการค้าทาส แต่ผู้คนในรัฐทางใต้ยังเพิกเฉย

ความขัดแย้งในสังคมจึงได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง คนทางใต้ยิ่งนำเข้าทาสจากทวีปแอฟริกาเพิ่มขึ้นจาก 6 แสนคนเป็น 4 ล้านคนภายในเวลาอันรวดเร็ว  คนทางเหนือพากันประณามความไร้มนุษยธรรม ขณะที่คนทางใต้ ซึ่งเป็นคนเคร่งศาสนาก็ตอบโต้ว่า ไม่มีข้อห้ามในศาสนา และพวกเขาปฏิบัติต่อทาสเหล่านี้ด้วยความเมตตา

นักการเมืองทางใต้ก็พากันต่อต้านกฎหมายเลิกทาส เพราะรู้แน่ว่าจะส่งผลสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของฝ่ายใต้ บรรดาสส.ในสภาต่างฝ่ายต่างก็โหวตให้กับผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง

สื่อมวลชนก็เริ่มเลือกข้าง หนังสือพิมพ์จากรัฐทางเหนือ ไม่สามารถมาขายรัฐทางใต้ได้ เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์จากรัฐทางใต้ก็ไม่สามารถมาขายในรัฐทางเหนือได้อีก ต่อไป
แม้กระทั่งตราชั่งแห่งความยุติธรรมก็เอียง ศาลสูงสหรัฐที่เป็นคนใต้ หรือคนเหนือบางคนก็เริ่มตัดสินคดีความตามผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเองเป็นหลัก

ในที่สุดเมื่อลินคอล์น แห่งพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ฝ่ายใต้ที่ประกอบด้วย 11 รัฐก็ประกาศแยกประเทศ ไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลางอีกต่อไป และบุกโจมตีป้อมทหารแห่งหนึ่งของทหารฝ่ายเหนือ จนลุกลามเป็นสงครามกลางเมือง ประธานาธิบดีลินคอล์นประกาศระดมทหารเข้าสมรภูมิ 2 ล้านกว่าคน ขณะที่ทหารฝ่ายใต้มีกำลังเพียง 1 ล้านคนเศษ

สงครามครั้งนี้มีการผลิตอาวุธที่ใช้สังหารผู้คนทีละมาก ๆ อาทิปืนกล ระเบิด เรือดำน้ำ รวมไปถึงปืนโคลต์ .45 ปืนสั้นที่มีชื่อเสียง มีการรบกันแทบทุกวัน นับรวมได้สองพันกว่าครั้ง และครั้งที่โหดร้ายที่สุดคือสมรภูมิเกเตสเบิร์ก  มีคนตายรวดเดียว 4 หมื่นกว่าคน ประธานาธิบดีลินคอล์นได้เดินฝ่ากระสุนมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บ และกล่าวสุนทรพจน์ด้วยความสะเทือนใจที่เห็นพี่น้องชาติเดียวกันต้องมาฆ่ากัน ตาย

“ เราได้ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า ทหารทั้งหลายที่เสียชีวิตนี้จะไม่ตายอย่างไร้ค่า เพราะประเทศชาตินี้ภายใต้พระหัตถ์ของพระเจ้าจะได้ก่อกำเนิดเสรีภาพครั้งใหม่ และรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน จะไม่สูญสลายไปจากโลก”

ไม่นานนัก ทหารฝ่ายเหนือก็เอาชนะทหารฝ่ายใต้ได้อย่างเด็ดขาด เพราะพลังทางเศรษฐกิจของฝ่ายเหนือที่แข็งแรงกว่า ประชากรที่มากกว่า และอาวุธเทคโนโลยีอันทันสมัยกว่า  ทิ้งความย่อยยับของสงครามให้คนในประเทศได้เยียวยากันอีกหลายสิบปี เพราะไม่มีใครคาดคิดตอนเริ่มสงครามว่า จะมีผู้คนล้มตายมากมาย และประเทศพังพินาศถึงเพียงนี้

หลายปีก่อน ผมมีโอกาสไปรัฐเวอร์จิเนีย ไปเยี่ยมสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า นิวมาร์เก็ต เป็นทุ่งหญ้าหลายพันไร่ ในอดีตคือสมรภูมิรบอันดุเดือดแห่งหนึ่ง ยังเห็นร่องรอยของโรงนาที่เป็นโรงพยาบาลสนาม ปืนใหญ่ของทหารทั้งสองฝ่ายที่ยังตั้งประจันหน้ากันอยู่เป็นอนุสรณ์เตือนความ ทรงจำให้คนรุ่นหลัง

สมรภูมิแห่งนี้ นักเรียนโรงเรียนนายร้อยเวอร์จิเนียของฝ่ายใต้ประมาณ 200 คนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ ได้ออกจากห้องเรียนกระทันหัน พร้อมอาวุธปืนมุ่งหน้าสู่นิวมาร์เก็ต เมื่อทราบข่าวว่ากองทหารฝ่ายเหนือได้ยกทัพใกล้เข้ามา

นักเรียนเหล่านั้นไม่เคยได้กลับเข้าห้องเรียนอีกเลย

ร้อยกว่าปีผ่านมา เราเรียนรู้ว่า

 

“ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย”

 

ขอบคุณบทความจากคุณ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์