หมาฮีโร่ Hero Dog

เผอิญเข้าไปในเว็บ teenee.com เลือบไปเห็นข่าว “ชิลีตามหาหมาฮีโร่-ฝ่ารถเก็บซากเพื่อน” ประทับในหมาฮีโร่ผู้ไม่กลัวตาย วิ่งฝ่าดงรถยนต์เข้าไปช่วยลากศพเพื่อนที่ถูกรถชนกลางทางหลวงอีกตัวออกมา แล้วเจ้าหน้าที่ทางหลวงก็เข้ามากันรถ นำหมาทั้งสองตัวออกไป โดยมีกล้องวงจรปิดได้บันทึกภาพไว้ นักข่าวประเทศชิลีเลยนำมาเสนอข่าวแล้วหมาน้อยผู้นี้ก็ดังไปทั่วโลก

อ่านข่าวเสร็จตามหาคลิปที่ว่าทันที

เหอๆ ขนาดหมายังรักกันเลย… แล้วคนไทยไม่คิดจะรักกันมั่งเลยเหรอครับ

AVIS คิดพลิกมุม จากเป็นไปไม่ได้ จนเป็นผู้ให้บริการรถเช่า อันดับ 2 ของโลก

Warren Avis ผู้ก่อตั้งบริษัทรถเช่า AVIS ได้เริ่มต้นเล่าจุดกำเนิดของเขา ในหนังสือ เรื่อง Take a chance to be first ว่า เมื่อตอนเขาอายุ 20 ปี ตอนนั้นเขายังเป็นนักบิน รับราชการอยู่ในกองทัพอากาศ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกๆครั้งที่เขานำเครื่องลงที่สนามบิน เขาจะต้องลำบากกับการเดินทางเพื่อหารถแท็กซี่ เพื่อจะได้เดินทางต่อไปยังจุดหมายของเขา ทำให้หลายครั้งเขาต้องนำ มอเตอร์ไซด์ ขึ้นเครื่องบินมาด้วย เพื่อที่จะได้เดินทางได้ทันทีหลังจากเขานำเครื่องลง แค่จุดเล็กๆนี้เอง ทำให้เขาคิดว่า ที่สนามบินน่าจะมีบริการรถเช่า แค่นี้เองครับ เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจรถเช่าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

แต่เมื่อเขาเริ่มลงมือทำ เขาได้ขอคำปรึกษาจากคนรู้จัก และหลายต่อหลายคนที่พอจะช่วยเขาได้ กลับบอกเขาว่า เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเป็นไปได้ Hertz (ผู้ให้บริการรถเช่าเบอร์ 1 ของโลก) คงทำไปนานแล้ว และเหตุผลหลักๆที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ คือ จะมีลูกค้าสักกี่คนที่เดินทางมายังสนามบิน แล้วจะกลับมาคืนรถในทันที มีแต่คนมาแล้วก็อยู่อีกนานกว่าเขาจะบินอีกครั้ง ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขา จะเช่ารถ แล้วกลับมาคืนรถในวันที่เขาต้องบินกลับ ถ้ามี ก็น้อยมาก (เพราะยุคนั้นเป็นยุคของสงครามโลก การที่นักธุรกิจจะบินข้ามรัฐ ข้ามประเทศ แล้วมาทำธุระให้เสร็จด้วยเวลาสั้นๆ เป็นไปได้น้อยมาก) ด้วยประเด็นเหล่านี้ Hertz และคนอื่นๆจึงมองว่า ลูกค้าที่ AVIS จะได้รับจะไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าซ่อมบำรุง ค่าจ้างคน เป็นต้น

แต่ Warren Avis เขาไม่ได้คิดแบบคนทั่วไป คิดพลิกมุมครั้งที่ 1 เพราะยุคนั้น รถเป็นสิ่งที่ขาดแคลน ผู้คนมีรถใช้กันน้อย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่นักธุรกิจจะทำกิจธุระของเขาเสร็จในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขากลับมองว่า ถ้าเขาบริการรถเช่า นักธุรกิจจะสามารถทำกิจธุระของเขาได้เสร็จอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครไม่อยากกลับบ้านเร็วๆ ในยุคสงครามโลก และนี่แหละ คือ จุดที่จะทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตไปได้

ดังนั้น Warren Avis จึงก่อตั้งบริษัทของเขาขึ้น ซึ่งในขณะนั้นเขาจำเป็นต้องลงทุนซื้อรถมาให้เขาเช่า แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ เมื่อเริ่มต้นธุรกิจ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะลงทุนในสินทรัพย์ให้น้อยๆไว้จะได้ไม่เสี่ยง แม้แต่ในตอนนั้นเบอร์หนึ่งอย่าง Hertz ยังใช้รถเก่าในการให้บริการกับลูกค้าเลย แต่ AVIS กลับคิดต่างกับคนอื่นๆ คิดพลิกมุมครั้งที่ 2 คือ เขาจะใช้รถใหม่ในการให้บริการ หากเขาใช้รถเก่า แบบ Hertz เขาก็ไม่ได้ต่างกับ Hertz เลย แต่ถ้าใช้รถใหม่ก็ต้องลงทุนสูง เขาจะทำอย่างไร ? AVIS ตัดสินใจ เจรจากับ Ford ทันที ซึ่งในขณะนั้น Hertz ใช้รถของ General Motor เขาเจรจากับ Ford โดยใช้เงื่อนไขว่า การที่ลูกค้าของเขามาเช่ารถ หากใช้รถใหม่ของ Ford นั่นจะเป็นการให้ลูกค้าลองรถของ Ford ไปโดยปริยาย และลูกค้าที่ได้ลองขับรถแล้ว พบว่ามันไม่มีปัญหาอะไร โอกาสที่ Ford จะขายรถได้เพิ่มขึ้นย่อมมีมาก

Warren Avis ขายโอกาสให้กับ Ford และ Ford ก็เชื่อ ดังนั้น AVIS จึงได้รถใหม่ราคาถูกจาก Ford และจากจุดนี้เอง ที่ AVIS เริ่มฉีกตัวแตกต่างจาก Hertz คือ ใครๆก็ชอบของใหม่ ซึ่งไม่เสี่ยงว่ารถจะเสียด้วย ดังนั้นความประทับใจใน AVIS จึงสูงมากขึ้น ด้วยแนวคิดใช้รถใหม่ ไม่เพียงเป็นกลยุทธ์สร้างความแตกต่างของ AVIS แล้ว ยังเป็นการ Save Cost ค่าบำรุงรักษารถด้วย แต่ทีเด็ดที่ทำให้ Warren Avis กล้าตัดสินใจซื้อรถใหม่นั้น ยังมีมากกว่านั้น ……

Warren Buffet เคยกล่าวไว้ว่า ตัวเขานั้นชอบธุรกิจที่มี Margin of safety สูงๆ เช่นกัน Warren Avis ก็ได้คิดเผื่อถึงการลดความเสี่ยงกับ การใช้กลยุทธ์รถใหม่ไว้แล้ว โดยเขาได้รับรู้ว่า ในยุคนั้น รถขาดแคลนมาก Demand > Supply ดังนั้น ราคารถใหม่ จะปรับตัวสูงขึ้นทุกๆ ประมาณ 6 เดือน ดังนั้น AVIS จึงเปลี่ยนรถใหม่ทุกๆ 6 เดือน โดยที่เขาไม่ขาดทุน และยังคงตอกย้ำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการกับ AVIS พบรถใหม่เสมอ ในขณะเดียวกัน Hertz กลับหัวเราะเยาะ AVIS ว่า ถ้าจะบ้า ไม่นาน AVIS ต้องเจ๊งเป็นแน่ กว่า Hertz จะรู้ตัว ก็ปาไป สามปี แต่ตอนนั้น AVIS ก็เข้ายึดครอง สนามบิน และขยายตัวไปยังยุโรปเป็นรายแรกแล้ว

การเป็นผู้ตาม หากคิดน้อย ก็จะอยู่ไม่ได้ ตอน AVIS ก่อตั้งใหม่ๆ การที่คนไม่รู้จัก AVIS ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่หากจะใช้โฆษณา ก็ไม่มีตังส์ จะทำอย่างไรดี ? คิดพลิกมุมครั้งที่ 3 ในตอนนั้น ธุรกิจสายการบินเป็นธุรกิจที่ใหญ่ มีอำนาจต่อรองมาก ไม่มีใครคิดถึงหรอกว่า ธุรกิจเล็กๆอย่างธุรกิจรถเช่า จะสามารถเจรจาเป็นพันธมิตร กับสายการบินได้ แต่ AVIS ไม่ได้มองว่า เราเล็ก หรือใครใหญ่ เขามองว่า ไม่ว่า ธุรกิจจะเล็ก หรือ ธุรกิจจะใหญ่ การเจรจาจะสำเร็จได้ ธุรกิจต้องได้รับผลประโยชน์ ต้อง Win –Win การเจรจาก็จะสำเร็จ ได้

Warren Avis พยายามชี้ให้สายการบินเห็นว่า การมีรถเช่า จะทำให้ปริมาณลูกค้าสายการบินเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าสามารถทำธุระและกลับมายังสนามบินได้ภายใน 1 วัน และอีกครั้งเขาก็สามารถขายโอกาสทางธุรกิจของเขาได้สำเร็จ ดังนั้นเขาไม่เพียงสามารถโฆษณาด้วยใบปลิว ที่สอดไว้ตรงหลังเบาะหน้าผู้โดยสาร ซึ่งเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก ซ้ำยังพบว่า ลูกค้าที่อยู่ระหว่างที่บินอยู่นั้น จะอ่านทุกอย่างที่มีอยู่ดังนั้น AVIS จึงเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว

ความร่วมมือของ AVIS กับสายการบินต่างๆ นั้น เกิดขึ้นตามมาอีกหลายอย่าง จนทำให้ธุรกิจรถเช่า AVIS เติบโตอย่างรวดเร็ว เพียง 7 ปี AVIS ก็กลายเป็นเบอร์ 2 ของโลกในธุรกิจรถเช่าแล้ว และ Warren AVIS ก็ได้ขายธุรกิจนี้ทำกำไรมหาศาล เพื่อมุ่งสู่ความต้องการส่วนตัวของเขา คือ

1. เขาต้องการสร้างฐานะทางด้านการเงิน

2. เขาต้องการความตื่นเต้นในชีวิต

3. เขาต้องการเป็นนายตนเอง

4. เขาต้องการกระทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด

5. เขาต้องการทำประโยชน์ให้กับสังคม

โดย : ก้องเกียรติ

20th Century Boys ทเวนตี้เซนจูรี่บอยส์

จากการ์ตูนสู่ภาพยนตร์ทเวนตี้เซนจูรี่บอยส์(20th Century Boys) แก๊งนี้มีป่วน ภาพยนตร์ไตรภาคทุนสูงที่สุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ญี่ปุ่น ที่หลายๆท่านรอคอย

คงเคยอื่นหนังสือการ์ตูนเรื่องทเวนตี้เซนจูรี่บอยส์(20th Century Boys) แก๊งนี้มีป่วน เขียนโดย นาโอกิ อุราซาว่า ผู้เคยฝากฝีมือมาแล้วจากเรื่องมอนสเตอร์ มาบ้างแล้วใช่ไหมครับ หรือยังไม่ได้อ่าน.. เอาหามาอ่านได้แล้วครับ รับรองว่าสนุกมากๆ ครับ การ์ตูนเรื่องนี้เป็น 1 ในเรื่องที่ผมชอบมากๆ เรื่องหนึ่ง แถมการ์ตูนเรื่องนี้ยังกวาดรางวัลมาแล้วมากมายเหลือเกิน อาทิเช่น รางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมครั้งที่ 48 จาก โชงะกุกัง,รางวัลชนะเลิศในงาน Media Arts ครั้งที่ 6 ของทบวงวัฒนธรรมญี่ปุ่น,รางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมครั้งที่ 25 จาก โคดันฉะ เป็นต้น

จณะนี้ได้นำถูกมาสร้างเป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่ทุมทุนสร้างมากที่สุดในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น(มากถึง 6 พันล้านเยน) โดยทีมงานสร้าง DeathNote วันนี้ออกมาเป็นภาพยนตร์แล้วว.. มหาวิบัติ… ดวงตาถล่มล้างโลก ดูตัวอย่างหนังได้ในเว็บนี้เลยครับ

และขณะนี้ผมได้เปิดเว็บไซต์(ที่ยังทำไม่เสร็จ เหอๆ) ไว้แล้วครับ คือเว็บ www.20thcenturyboys.net และเปิดเว็บบอร์โไว้ด้วยนะครับ iforums.20thcenturyboys.net สามารถเข้าไปดูกันได้ครับ ทเวนตี้เซนจูรี่บอย

Continue reading “20th Century Boys ทเวนตี้เซนจูรี่บอยส์”

เปิดระบบโหวตดาว – เดือนของงานกีฬาสัมพันธ์ครั้งที่ 36

ตั้งแต่วันนี้จะเปิดให้สามารถโหวตดาว – เดือนผ่านเว็บไซต์ http://mju.sutenm.com ได้โดยจะมีการนับคะแนนจนถึงวันที่ 20 เท่านั้น สำหรับระบบโหวตที่มีสองเว็บไซต์ โดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ระบบการโหวตผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา
ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงเราจะแจ้งข่าวทางเว็บไซต์ http://mju.sutenm.com เท่านั้น หากมีปัญหาสอบถามเกี่ยวกับการโหวตหรือการนับคะแนนสามารถสอบถามได้ที่ http://forums.sutenm.com/

งานโคมลอยยี่เป็งธุดงศสถานล้านนา (แม่โจ้) 2556

สำหรับงานงานโคมลอยยี่เป็งธุดงศสถานล้านนาประจำปี 2556 นี้กำหนดการจัดงานมีวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2556 งานโคมลอยเริ่มตั้งแต่ 18.30 น. ครับ สถานที่ก็ที่เดิมเลยครับที่ธุดงศสถานล้านนาหลังมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สามารถดูแผนที่จาก Google ได้ที่นี้ครับ สำหรับทุกๆ ปีนั้นจะมีจำนวนคนมาเยอะมากๆ จึงแนะนำให้ไปก่อนเวลาจัดงาน 2 ชั่วโมงครับ เพราะไปช้าอาจจะเข้าไปในตัวงานลำบากรวมไปถึงที่จอดรถก็หายากด้วยครับ

คลิปบรรยายกาศภายในงาน

ภาพบรรยากาศหลายปีที่ผ่านมา

ปิดท้ายด้วยรูปเพื่อนรักสองคนมองตากันหวานๆ แล้วกัันครับ 55 5 5

My Redeemer Lives – Team Hoyt เรื่องจริงของพ่อ(Dick) ลูก(Rick) คู่หนึ่ง

คลิปที่มี View บน youtube.com นัีบ 1.4 ล้าน View มี Comments นับ 1000 Comments ขอบคุณคลิปนี้ที่ทำให้เรามีกำลังใจ

My Redeemer Lives – Team Hoyt

True Story …
เรื่องจริง …

A son says to his father: ‘Dad, would you be willingly to run a marathon with me?’
วันนึงลูกชายได้พูดกับพ่อของเขาว่า “พ่อครับ พ่อจะไปวิ่งมาราธอนกับผมได้ไหม”

The father, despite his age and a heart disease, says ‘YES’.
ถึงแม้ว่าตัวคุณพ่อเองจะอายุมากแล้ว แถมยังเป็นโรคหัวใจ เขาเลือกที่จะตอบลูกของเขากลับไปว่า “ได้ซิลูก”

And they run that marathon, together.
หลังจากนั้นทั้งสองก็วิ่งมาราธอนด้วยกัน

The son asks: ‘Dad, can you run another marathon with me?’ Again father says ‘YES’.
อีกวันนึง ลูกชายได้ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า “พ่อครับ พ่อจะวิ่งมาราธอนกับผมอีกครั้งได้ไหม” แน่นอนว่า พ่อตอบกลับไปว่า “ได้ซิลูก”

They run another marathon, together.
เขาทั้งสองก็ได้วิ่งมาราธอนรายการอื่นอีกครั้งด้วยกัน

One day the son asks his father: ‘Dad, would please do the Iron Man with me?’
และอีกวันนึง ลูกชายก็ถามพ่อของเขาอีกครั้งว่า “พ่อครับพ่อจะลงแข่ง Iron Man กับผมได้ไหม”

Now just in case you wouldn’t know, ‘The Iron Man’ is the toughest triatlon in existance; 4km swimming, then 180 km by bike, and finaly another 42 km running, in one stroke.
(สำหรับคนที่ไม่รู้ว่า Iron Man คืออะไร มันก็คือไตรกีฬานั่นเองในภาษาไทย รายการนี้จะรวมมนุษย์เหล็กจากทั่วโลกมาแข่งขันกันโดยแบ่งออกเป็นว่ายน้ำ 4 กิโลปั่นจักรยาน 180 กิโลและวิ่ง 42 กิโล โดยไม่มีการหยุดพักใครเข้าเส้นชัยก่อนเป็นผู้ชนะ)

Again father says ‘YES’
และก็อีกครั้งหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ตอบปฏิเสธ “ได้ซิลูก”

Maybe this doesn’t ‘touch’ you yet by heart … until you see this movie (put on sound!):
บางทีบทสนทนานี้คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ และยังไม่เกิดความประทับใจกับมัน…จนกระทั่งคุณได้ดูคลิปต่อไปนี้

ข้อมูลอื่นๆ

Dick Hoyt คุณพ่อวัย 65 ปี ของ Rick Hoyt ลูกชายวัย 43 ปี สองพ่อลูกจากรัฐ Massachusetts ได้เข้าร่วมการแข่งขันกรีฑามากมายถึงเก้าร้อยกว่ารายการ รวมถึงกีฬาการแข่งขันไตรกีฬาสุดโหด ที่การแข่งขันประกอบด้วย การว่ายน้ำ ในทะเล ระยะทาง 3.86 กม.ปั่นจักรยาน ระยะทาง 180.2 กม.และการวิ่งมารธอนระยะทาง 42.195 กม. ซึ่งในคนปกติก็ยากหนักหนาอยู่แล้ว แต่พ่อลูกคู่นี้ไม่ธรรมดา!!!

Rick ลูกชายป่วยด้วยภาวะสมองพิการหรือ cerebral palsy เนื่องจากสมองขาดออกซิเจนจากสายสะดือพันคอตั้งแต่แรกเกิด หมอที่ดูแลบอกว่าเขาต้องตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าเป็น “ผัก” และบอกให้ทิ้งลูกไว้เมื่อเขาอายุได้แปดเดือน แต่ผู้เป็นพ่อและครอบครัวไม่ท้อใจ พวกเขาพา Rick กลับบ้านและเพียรพยายามเลี้ยงลูกอย่างดี

เมื่ออายุ 12 Rick ได้เรียนรู้โดยการพิมพ์ผ่าน computer ที่ออกแบบพิเศษโดยใช้การเคลื่อนไหวของศีรษะ คำแรกที่เขาพิมพ์คือ “Go Bruins!” ( Bruins เป็นชื่อทีม ice hocky ที่มีชื่อ) ทำให้ครอบครัวได้รู้ว่า Rick เป็นแฟนกีฬาตัวยงเลยทีเดียว

ปี 1977 สองพ่อลูกได้เข้าร่วมการแข่งขันวิ่งระยะทาง 5 ไมล์เป็นครั้งแรก และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันอีกหลายครั้ง รวมถึงปัจจุบันพวกเขาในนาม “Team Hoyt” ได้เข้าร่วมการแข่งขันถึง 958 รายการ (นับถึง ม.ค. ปีนี้) ซึ่งเป็นไตรภาคีถึง 224รายการ

Dick ใช้อุปกรณ์พิเศษอันได้แก่ ที่นั่งด้านหน้าติดจักรยาน เรือพิเศษเวลาว่ายน้ำและ wheelchairเวลาวิ่ง พาลูกชายของเขาเข้าร่วมการแข่งขันไปทุกหนแห่งช่างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่

“สิ่งเดียวที่เป็นความแตกต่างระหว่างเนินดินกับภูเขา นั่นก็คือบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าทัศนคติ”
Dick Hoyt

I CAN do all things through Him who strengthens me

“ผมสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ผ่านเขา บุคคลที่ทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น”
Rick Hoyt

Dick Rick

The Hoyt Foundation Inc.
Address : Team Hoyt
241 Mashapaug Road
Holland MA 01521
Fax : (413) 245-9554
Email : [email protected]
Web: www.teamhoyt.com

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

  1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
  2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดี ไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
  3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
  4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
  5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
  6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
  7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
  8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
  9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

โดยวนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด