ประวัติ อากิโอะ โมริตะ ผู้สร้าง SONY



วัยเด็ก
สภาพความเป็นอยู่

อากิโอะ โมริตะ เป็นลูกชายคนโตของเคียวซาเอมอนและชูโกะ โมริตะ ซึ่งอยู่ในครอบครัวที่ค่อนข้างมั่งคั่งในญี่ปุ่นมีพี่น้อง 3 คนเป็นผู้ชายทั้งหมด โดยทำธุรกิจเหล้าสาเกจนโด่งดังและเป็นที่ยอมรับที่สุด ความเป็นอยู่เป็นไปอย่างสะดวกสบายมีบ้านหลังใหญ่และมีหลายครอบครัวอาศัยในบ้านหลังนี้  การที่มั่งคั่งนี้เองจึงทำให้ความคิดความอ่านค่อนข้างที่จะเป็นตะวันตก มีญาติหลายคนไปเรียนในยุโรป และหลงใหลในอุปกรณ์ใหม่ ๆ ของยุโรปพอสมควร  จนทำให้เด็กคนนี้มีความฝันที่จะสร้างเครื่องเล่นแผ่นเสียงไฟฟ้าและบันทึกเสียงของตัวเองใหได้

สำหรับการศึกษา เนื่องจากความสนใจในด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และชอบด้านการทดลองเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ผลการเรียนวิชาอื่น ๆ จึงออกมาแย่  สิ่งที่เขาพยายามทดลองคือสร้างเครื่องบันทึกเสียงแต่ก็ล้มเหลว  ในที่สุดหลังจากที่จบมัธยมปลายเขาก็ได้เลือกเรียนต่อในสาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยโอซาก้าอิมพีเรียล แทนที่จะเลือกเศรษฐศาสตร์ตามที่พ่อของเขาต้องการ  แต่อย่างไรก็ดีขณะที่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้น  ญี่ปุ่นได้เปิดสงครามมหาเอเชียบูรพารวมไปถึงการรบกับอเมริกาด้วย ผู้ชายที่มีอายุเกิน 18 ปีจะต้องถูกเกณฑ์ทหาร  อย่างไรก็ตามเขาเลือกที่จะเข้าสมัครเป็นทหารช่างเพื่อทดลองเกี่ยวกับอาวุธชิ้นใหม่ให้กับกองทัพ  น้องชายทั้งสองของเขาก็เช่นกันได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเช่นเดียวกัน   แต่เคราะห์ดีที่สงครามสิ้นสุดเสียก่อนที่พวกเขาจะออกรบ  โดยช่วงที่มีสงครามนั้นทหารจะมีอำนาจเหนือการเมืองมาก ข่าวสารทั้งหมดจะผ่านทางข่าวทหารและปกปิดข่าวจริงเพื่อประโยชน์ในด้านยุทธศาสตร์ตลอดเวลา  และจากการที่เข้าเป็นทหารวิจัยนี้เองทำให้เขาได้รู้จักกับ มาซารุ อิบูกะ ( ซึ่งเป็นคู่หูในการจัดตั้งบริษัท SONY ต่อมา ) ซึ่งเป็นลูกเจ้าของเครื่องมือวัดแห่งญี่ปุ่น  หลังจากสู้รบอย่างยาวนานในที่สุดญี่ปุ่นก็ประกาศยอมแพ้สงครามเนื่องจากความย่อยยับของบ้านเมืองหลังจากการโจมตีของฝ่ายสัมพันธมิตร และการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ของอเมริกา

การมองถึงโอกาส

แน่นอนว่าเมื่อสิ้นสุดสงครามแล้ว โมริตะและพี่น้องของเขาได้กลับบ้าน แต่สภาพของบ้านเมืองในตอนนั้นแร้นแค้นมาก การขาดแคลนเครื่องมือแพทย์และการตกงานของประชาชนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูหมดหวัง  ในขณะที่เขากลับบ้านเขาก็ยังติดต่อกับอิบูกะอยู่เสมอ ๆ ซึ่งโรงงานเขาก็ถูกระเบิดทำลายจนต้องย้ายไปอยู่นอกเมืองเช่นเดียวกัน  และจากการติดต่อกันจึงรู้ถึงว่าอิบูกะกำลังทำห้องทดลองในโตเกียวอยู่และต้องการให้โมริตะมาช่วยเพื่อร่วมกันก่อตั้งธุรกิจใหม่ขึ้นมา  จากความรู้ ความสามารถและธุรกิจของอิบูกะที่ประสบความสำเร็จพอสมควร โดยเฉพาะ Project ใหม่ที่ท้าทาย ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางมาโตเกียวเพื่อทำธุรกิจกับอิบูกะทันทีที่เขาส่งจดหมายเชิญ

ช่วงเริ่มต้นธุรกิจ

เมื่อโมริตะเดินทางมาถึงโตเกียวก็ทำงานสอนในมหาวิทยาลัยรวมถึงทำงานบริษัทไปด้วย โดยร่วมจัดตั้งบริษัทขึ้นมาในปี 1946 ชื่อ “ บริษัท วิศวกรรมโทรคมนาคมแห่งโตเกียว “ ซึ่งโมริตะได้เสี่ยงมากเนื่องจากเขาจะเป็นผู้สืบทอดกิจการของที่บ้านอยู่แล้ว แต่กลับมาโตเกียวตามลำพังเพื่อหาธุรกิจใหม่  อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นบริษัทใหม่จึงต้องกลับไปยืมบริษัทพ่อเขาหลายครั้งโดยออกหุ้นให้แทน  สถานที่ตั้งของบริษัทในช่วงแรกคือซากของห้างสรรพสินค้าที่ถูกระเบิดนั่นเอง  และหลังจากสอนในมหาวิทยาลัยได้ไม่นานเขาก็ลาออกมา  แน่นอน บริษัทของเขาต้องการทำในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเขาต้องทำหน้าที่ทุกอย่างทั้งส่งขึ้นรถ ขับรถหรือส่งเอกสาร  เริ่มต้นได้เริ่มทำเครื่องบันทึกเสียงโดยใช้เส้นลวด แต่เนื่องจากไม่ทราบว่าโชคดีหรือร้าย บริษัทที่ทำเส้นลวดบางนี้ได้ไม่ยอมขายให้เนื่องจากเป็นบริษัทเล็ก และทำให้บริษัทของโมริตะไปพัฒนาในการใช้เทปแทน ซึ่งมีข้อดีกว่าการใช้ลวดบันทึกเสียงมากมายเพราะสามารถตัดต่อได้ ซึ่งเครื่องบันทึกเทปนั้นหัวใจอยู่ที่เทปซึ่งทั้งโมริตะและอิบุกะได้ทำการทดลองมาอย่างอดทนและในที่สุดก็สามารถเครื่องเล่นเทปได้

การที่คิดว่าเมื่อเราสามารถผลิตของดีได้แล้วจะทำให้เราสามารถขายได้มากเสมอ  ความคิดนี้ผิดทันทีถ้าเราไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าสินค้าเรามีคุณค่าอย่างไร  เมื่อเขาสามารถผลิตเครื่องเล่นเทปและเทปได้แต่คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อ เนื่องจากมันเป็นของใหม่ที่คนทั่วไปไม่รู้จัก อาจเป็นเพราะว่ามันใหญ่และแพงเช่นนั้นหรือ ในที่สุดเขาก็พบว่าเนื่องจากคนไม่เห็นคุณค่ามันมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไปสาธิตในที่ต่าง ๆ เช่น ศาล เพื่อใช้ในการบันทึกคำให้การแทนการจดชวเลขของเจ้าหน้าที่  การใช้ช่วยในการฝึกการออกเสียงภาษาอังกฤษ  นอกจากนี้เขายังลดขนาดที่เทอะทะของมันให้เล็กลงและทำให้ราคาถูกลง  ดันั้นสินค้าของเขาจึงขายได้เมื่อความต้องการมากขึ้นเขาจึงต้องขยายและย้ายบริษัทไปอยู่ในตัวเมือง  และขอซื้อลิขสิทธิ์แรงดันไฟฟ้า AC ของ NEC เพื่อมาปรับปรุงเครื่องเล่นเทปของเขาอีกทางหนึ่งด้วย

เครื่องบันทึกเทปขายดีมากและเขาได้เดินทางไปอเมริกาเพื่อดูงานและได้ซื้อลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์ของ Bell Lap ในอเมริกาที่ชื่อว่า “ ทรานซิสเตอร์ “ กลับมาด้วยและเขาได้พัฒนามันเพื่อนำมาช่วยในการได้เสียงเหมือนจริงระดับสูง ( High Fidelity ) โดยการควบคุมความถี่เสียง แน่นอนว่ามันจะเข้ามาแทนที่หลอดสูญญากาศที่มีขนาดใหญ่เทอะทะ ในเมื่อมันเล็กกว่ามันก็จะสามารถเล่นได้นานกว่ามื่อเทียบกับแบตเตอรี่ขนาดเดียวกัน  ซึ่งพัฒนาการเพิ่มกำลังของทรานซิสเตอร์ของเขา โดยการอาบฟอสฟอรัสในแผ่นเจอร์มาเนียมและได้ผลเป็นที่น่าพอใจในเวลาต่อมา

จากการที่บริษัทเขาใหญ่ขึ้น และการออกไปดูงานต่างประเทศทำให้เขารูสึกว่าชื่อบริษัทยาวเกินไป และต้องการเปลี่ยนมันรวมถึงสัญลักษณ์ที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถจำได้ และจากการคัดเลือกรวมถึงการออกเสียงแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้ชื่อออกมาคือ “ SONY “ ในปี 1953 นี้เองรวมไปถึงตราสัญลักษณ์ก็ใช้เหมือนชื่อโดยเป็นตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ตลอดมา

การดำเนินธุรกิจ

เมื่อรู้ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไม่มีทรัพยากร ดังนั้นการที่จะใหญ่ได้ต้องดูตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะประเทศที่มั่งคั่งเช่นอเมริกาหรือยุโรป เป็นต้น  และการทำเครื่องบันทึกเทปของเราได้ถูกคู่แข่งพัฒนาขึ้นมาแข่ง  ดังนั้นเพื่อเป็นเอกลักษณ์เขาจึงเรียกเครื่องบันทึกเทปของเขาว่า “ วอร์คแมน “  เพื่อส่งตลาดต่างประเทศ เป็นที่รู้กันดีว่าสินค้าญี่ปุ่นช่วงก่อนสงครามโลกเป็นของที่มีคุณภาพต่ำ ดังนั้นการส่งออกสินค้าเขาจึงพยายามตีตรา Made in Japan ให้มีตัวเล็กที่สุด ( แต่ SONY ขายของมีคุณภาพดี ) เพื่อไม่ให้ลูกค้าปฏิเสธก่อนที่จะได้ใช้สินค้า  แน่นอนว่าเมื่อผลิตสินค้าที่ไม่เคยมีมาก่อน คนอื่นจะเห็นว่าเราเป็นหนูทดลอง โดยดูว่าเราขายได้หรือไม่ถ้าขายได้ดีเขาจะเข้ามาแข่งทันที  ดังนั้นเมื่อเราพัฒนาสินค้าได้แล้วเราจะรีบออกสินค้าเพื่อเป็นเจ้าตลาดในช่วงแรก โดยเราจะทำเงินได้มากมาย ( SONY ใช้งบวิจัยพัฒนา 6 –10 % จากยอดขาย ) เมื่อคนอื่นมาทำตามเราก็จะรีบพัฒนามันต่อไปทันทีเพื่อให้เราใหม่เสมอ

สิ่งประดิษฐ์สิ่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงมากชิ้นหนึ่งคือ วอร์คแมน เกิดจากการที่เขาได้พัฒนาการฟังดนตรีเพื่อเป็นส่วนตัวแม้ในยามที่เดินทางอยู่บนท้องถนน  หรือในท้องถนนจะมีคนแบกสเตอริโอบนบ่าแล้วฟังดนตรีเสียงดังรบกวนคนอื่น  ดังนั้นเขาจึงพัฒนาโดยการนำเอาเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ตต์ขนาดเล็กมาพัฒนาโดยเริ่มแรกด้วยการนำเอาวงจรบันทึกออกทำให้เครื่องเล็กลง แล้วกำหนดราคาขายให้หนุ่มสาวสามารถซื้อได้ การใช้หูฟังแบบคู่ แบตเตอรี่ขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบา แม้ว่าจะต้องสู้กับฝ่ายบัญชีและคำเยาะเย้ยของคนอื่น  ในไม่ช้ามันก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันดีขนาดไหน ด้วยคำสั่งซื้อที่ผลิตไม่ทันตามต้องการ  อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะขายดีอยู่แล้ว แต่เพื่อรักษาตลาดไว้ให้ใหม่เสมอ เขาจึงได้พัฒนาวอร์คแมนให้มีรูปแบบที่ต่าง ๆ กัน  กล่าวกันว่าวอร์คแมนที่สามารถขายได้จนถึงปัจจุบันนี้ ( 1988 ) มีถึง 20 ล้านเครื่องเลยทีเดียว เมื่อขายได้มากขึ้นเขาก็เริ่มสร้างเครือข่ายในการจำหน่ายเพิ่มขึ้นมาด้วย ทั้งการขายผ่านทางตรงและทางตัวแทนจำหน่าย  แต่อย่างไรก็ดีต้องขายใน Brand ของ SONY เท่านั้น

การดูความสามารถในการผลิตกับ Order ที่ได้นั้นเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากถ้าเราขยายโรงงานมากขึ้นเพื่อรับ Order ที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเสี่ยงอย่างยิ่งรวมถึงการทำธุรกิจในต่างแดนนั้นก็เช่นเดียวกัน การที่จะทำธุรกิจในต่างประเทศนั้นเราต้องรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของถิ่นนั้นรวมไปถึงวิถีทางการใช้ชีวิตของเขาด้วย ดังนั้นโมริตะจึงเดินทางไปอเมริกาโดยกำหนดค่าใช้จ่ายอย่างประหยัด การที่ได้เพื่อนที่เปรียบเสมือนครูของเขาคือ อดอล์ฟ กรอสส์  ทำให้เขาเรียนรู้ความเป็นอยู่ของอเมริกาได้ดีขึ้นมาก  การที่ตัวแทนจำหน่ายในอเมริกามีการตุกติกทางด้านกฎหมาย  การจะขายสินค้าโดยยึดถือราคาเป็นหลักโดยยอมให้ลดคุณภาพของสินค้าโดยผู้จัดจำหน่ายของ SONY ในอเมริกาเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และลงเอยด้วยการเลิกสัญญา และจัดตั้ง โซนี่คอร์ปอเรชั่นแห่งอเมริกาในปี 1960 ซึ่งแม้ว่าจะติดปัญหาในด้านการแปลเอกสารเป็นภาษอังกฤษ การยินยอมจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่น รวมไปถึงการ SET ราคาหุ้นที่จะขายในอเมริกา แต่ก็สามารถผ่านมันมาได้ ในปีนี้นอกจากการจัดตั้ง SONY อเมริกาแล้วเขายังเปิดโชว์รูมในนิวยอร์กอีกด้วย  เพื่อที่จะเก็บเอาความคิดและวัฒนธรรมแบบอเมริกัน เขาจึงย้ายครอบครัวซึ่งมีภรรยาและลูกอีก 3 คนมาอยู่อเมริกาด้วย แต่สองปีต่อมาพ่อของโมริตะเสียชีวิตและเขาต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นเขาจึงย้ายกลับโตเกียว

การพัฒนานอกจากด้านเครื่องเล่นเทปที่โด่งดังแล้ว เครื่องเล่นวีดีโอ ยู-เมติกก็เป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่ขายดี โดยที่ฟอร์ดได้ซื้อเครื่องนี้เพื่อไปใช้ในการ Train ช่างและพนักงานขายของเขา ซึ่งการเข้ามาของฟิล์มสิบหกมิลลิเมตรของสถานีโทรทัศน์อย่างรวดเร็ว  และแน่นอนเขาก็พัฒนามันอีก จากการใช้สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดอันเทอะทะของมันเขาจึงพัฒนาม้วนเทปให้มีขนาดเล็กลง และก่อให้เกิดเครื่องเล่นวีดีโอเบต้าแมกซ์ที่สามารถใช้ตามบ้านได้ขึ้นมา ซึ่งเมื่อเขาคิดค้นได้เขาได้ทำการออกตลาดโดย Promote สินค้าตัวใหม่อย่างยิ่งใหญ่แม้การสำรวจตลาดจะไม่ได้ผลเท่าที่ควรก็ตาม แต่ในความคิดของโมริตะเขาอาจจะมี Six sense ที่มั่นใจว่าจะขายออก แม้ว่าเมื่อพูดตามเหตุผลแล้วมันไม่น่าจะขายได้ดีขนาดนี้

การพัฒนาด้านโทรทัศน์สีก็เช่นเดียวกัน เขาได้ซื้อลิขสิทธิ์หลอดภาพโครมาตรอนแต่อย่างไรก็ดี มันไม่ Work และบริษัทได้ยกเลิกไปและมาพัฒนาด้านไตรนิตรอนแทนโดยทำให้ภาพคมชัดขึ้น 30 % และในปี 1964 เขาก็เปิดโรงงานโทรทัศน์ขึ้นมาอีกเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในและนอกประเทศ

การเปิดตัวโชว์รูมเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าเห็นและรู้ถึงคุณภาพของเรา ดังนั้นโมริตะจึงพยายามเปิดโชว์รูมเพิ่มขึ้นนอกจากที่โตเกียวและนิวยอร์ก แน่นอนว่า SONY วางตัวเองเป็นสินค้าคุณภาพดี ดังนั้นโชว์รูมที่ต้องการจะตั้งทั่วโลกนั้นต้องเป็นจุดที่คนมากและกำลังซื้อสูง  และในที่สุดเขาก็เปิดโชว์รูมอีกแห่งที่ ฌอง อาลิเซ่ส์ ใจกลางกรุงปารีส และตั้งโซนี่โพ้นทะเลที่สวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี ด้วยคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นเขาจึงคิดที่จะตั้งโรงงานในอเมริกา แต่จะเป็นสิ่งที่ผิดที่จะเปิดโรงงานนอกประเทศโดนที่ยังไม่มีระบบการขายและการตลาดที่นั่นก่อน ดังนั้นเขาจึงได้ดูลาดเลาและตรวจสอบ Supplier ที่ต้องการและขนาดตลาดที่เพียงพอต่อการผลิต และในปี 1971 จากการจ่ายค่าขนส่งที่แพงและความยืดหยุ่นต่อความต้องการในอเมริกา ดังนั้น SONY จึงเปิดโรงงานขึ้นในปีนี้เอง

และแน่นอนคุณจะทำงานไม่ได้ดีหากคุณไม่มีลูกจ้างที่ดี นักบริหารญี่ปุ่นจะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกจ้าง โดยที่เขาจะพยายามเจอพนักงานใหม่ทุกคน ซึ่งเขาจะสอนให้รู้ถึงความรับผิดชอบในการทำงานและโอกาสที่จะได้รับ  และจากการโดนยึดครองจากกลุ่มสัมพันธมิตรและคลอดกฎหมายแรงงานใหม่ออกมา ทำให้คนรวยต้องเสียภาษีมาก รวมไปถึงภาษีมรดกที่มหาศาลด้วย ( จนมีคนพูดกันว่า มรดกความมั่งคั่งจะโดนภาษีกินหมดใน 3 ชั่วอายุคน ) ทำให้ความเหลื่อมล้ำในด้านรายได้ไม่ต่างกันมากนัก  ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาด้านแรงงานในญี่ปุ่นมากนัก อย่างไรก็ตาม SONY จะดูแลพนักงานอย่างดีและการจูงใจไม่ใช่แค่เงืนอย่างเดียวเหมือนในอเมริกา ซึ่งทาง SONY จะถือว่าพนักงานก็คือคนในครอบครัว  ดังนั้นการหยุดงานหรือการ Strike นั้นจึงแทบไม่ได้เห็นเลย  ถ้าลูกน้องเบื่อต่อการทำงานเดิมหรือต้องการความท้าทายใหม่ ๆ  ทาง SONY ก็จะทำการจัดหาให้โดยการติดป้ายประกาศภายในทำให้เขาสามารถทุ่มเทกับงานใหม่ได้อย่างเต็มที่แทนที่จะอึดอัดกับงานเก่า  แน่นอนว่าความคิดความอ่านหรือข้อเสนอแนะของพนักงานซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัว จะได้รับฟังโดยปล่อยให้เขามีความคิดเป็นอิสระออกความคิดเห็น รวมถึงการเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ฝีมือด้วย ต่างกับในอเมริกาที่ฝ่ายบริหารคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด  ซึ่งส่งผลให้เทคนิคการจัดการในญี่ปุ่นแลอเมริกาต่างการโดยสิ้นเชิงคือ ญี่ปุ่นจะพยายามหาสิ่งที่ผิดพลาดเมื่อพนักงานทำผิดแต่อเมริกันกลับเลือกที่จะไล่ออกเพราะไม่ทำตามคำสั่ง มันมีผลถึงจิตใจพนักงานที่ไม่ดีและการเปลี่ยนงานบ่อยในอเมริกา  ดังนั้นเมื่อโมริตะได้เข้าไปเป็นผู้บริหารในโซนี่อเมริกา เขาก็ได้พยายามใช้เทคนิคพนักงานคือครอบครัวไปใช้แทนระบบทั่วไปที่อเมริกาใช้อยู่ผลก็คือ คนงานยอมรับแม้จะค่อนข้างติดขัดในช่วงแรก การลาออกน้อยและขวัญกำลังใจในการทำงานดีขึ้น  ซึ่งพนักงานในบริษัทส่วนใหญ่เป็นวิศวกรที่คอยนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า  ซึ่งเขาได้เคยกล่าวกับคนยุโรปที่กล่าวไว้ว่า “ เทคโนโลยีใหม่ ๆ คิดค้นในยุโรป “  โมริตะได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวกลับว่า  “ เทคโนโลยีใหม่ถ้าไม่ได้นำเอาไปใช้ประโยชน์ในการประดิษฐ์เพื่อทำเป็นอุตสาหกรรมแล้ว จะมีประโยชน์น้อยกว่าการปรับปรุงจากความคิดมาเป็นอุตสาหกรรมเสียอีก “  แน่นอนว่าการที่เราจะทำการวิจัยหรือพัฒนางานสักชิ้นเราต้องกำหนดเป้าหมายและเวลาที่ทำอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเปลืองเวลาและทรัพยากร

แน่นอนความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมและการทำงานของญี่ปุ่นและอเมริกันที่ต่างกัน สร้างปัญหาให้แก่โซนี่อเมริกาพอสมควร  ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดอันแรกคือการฟ้องร้องที่เกิดบ่อยจนแทบได้ว่าเป็นเรื่องปกติในอเมริกาไปเสียแล้ว แต่ในญี่ปุ่นการฟ้องร้องถ้าไม่จำเป็นจะไม่ทำกัน เนื่องจากจะให้เกียรติซึ่งกันและกัน  โซนี่จะต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจ้างทนายคอยปกป้องการฟ้องร้องที่เกิดเป็นประจำต่อบริษัท แม้ว่ามันจะเห็นได้ชัดว่าเขาถูกก็ตาม  ดังนั้นใน อเมริกาจะไม่มีระบบไว้เนื้อเชื่อใจกันเลยแม้กระทั่งพนักงงานจากบริษัทหนึ่งเมื่อลาออกไปอยู่บริษัทคู่แข่งแล้วจะนำความลับติดตัวไปบอกบริษัทใหม่ด้วย การจะทำสัญญาหรืออะไรก็แล้วแต่จะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอเพื่อเอาไว้ใช้ยืนยันในชั้นศาล  ซึ่งสาเหตุการฟ้องส่วนใหญ่มักจะเป็นในทำนองที่สินค้าญี่ปุ่นสามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่าที่ระดับคุณภาพเดียวกัน  ดังนั้นคนอเมริกันจึงซื้อสินค้าญี่ปุ่น  บริษัทในอเมริกาที่ขายไม่ออกและธุรกิจล้มลงก็กล่าวหาว่า SONY จะต้องรับผิดชอบในการทำให้เขาและพนักงานต้องตกงาน   ดังนั้นในเวลาต่อมาเขาเริ่มลด Pressure ในด้านนี้โดยการเพิ่มวัตถุดิบและแรงงานที่ใช้ในอเมริกามากขึ้นและเป็นตัวแทนนำสินค้าอเมริกาเข้าไปขายในญี่ปุ่นอีกด้วย

อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าในอเมริกาเขาจะแบ่งชนชั้นในด้านการบริหารและคนงาน  คนงานคนหนึ่งจะถูกฝึกให้ทำงานอย่างเดียวเพื่อให้ชำนาญโดยไม่คิดถึงความเบื่อหน่ายของพนักงาน เมื่อโมริตะได้เข้าไปจัดการเขาก็เปลี่ยนระบบความคิดให้เป็นแบบญี่ปุ่นมากขึ้น การเอาใจใส่ไปพบพนักงานและกินข้าวร่วมกัน ทำให้ความเหลื่อมล้ำน้อยลง รวมไปถึงการยอมให้พนักงานมีการย้ายงานข้ามแผนกได้หากสนใจ การฝึกฝนของ SONY พนักงานฝ่ายผลิตต้องเป็นพนักงานขายก่อน 1 เดือนและในทำนองเดียวกัน พนักงานฝ่ายขายต้องอยู่ในโรงงานก่อน 1 เดือน เพื่อให้รู้ความสัมพันธ์ระหว่างการขายและการผลิต  การไม่แบ่งชนชั้นนี้ส่งผลไปถึงห้องทำงานใน Office ด้วยคือจะไม่มีห้องส่วนตัวของผู้บริหารแต่จะเป็นการนั่งรวมกัน จะมีก็เพียงฉากกั้นเท่านั้น  รวมไปถึงค่าจ้างที่ไม่ต่างกันมากนักสำหรับผู้บริหารและพนักงาน  ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องครอบครัวของตน SONY จึงเน้นการเติบโตอยู่ที่การเติบโตระยะยาวอย่างมั่นคงแทนที่จะเน้นกำไรมาก ๆ เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นอย่างในอเมริกา  การที่ผู้บริหารจะตัดสินใจในสิ่งนั้น ควรจะต้องพอมีความรู้ในธุรกิจนั้นพอสมควรด้วย แม้ว่ามันอาจจะไม่ขึ้นกับหลักการและเหตุผล แต่ในที่สุดจากการที่เขารู้ตัวเองและผู้อื่น มักจะทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายถูกต้อง  แนวทางการดำเนินงานของบริษัทจะต้องดำเนินต่อไปแม้ว่าจะเปลี่ยนผู้บริหารก็ตาม เป็นความคิดที่ทำให้พนักงานทั้งหมดเดินไปในทางเดียวกันได้ ผิดกับที่อเมริกาที่ผู้บริหารมักจะมีการล้างบางตลอดเมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูง

การที่ญี่ปุ่นสามารถแข่งขันได้ในทุกประเทศทั่วโลกเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงภายในประเทศนั่นเอง แน่นอนว่าการแข่งขันในประทศญี่ปุ่นเป็นไปด้วยความรุนแรงไม่ว่าด้านใดก็ตาม ทั้งการศึกษา การทำงาน หรือธุรกิจ การแข่งขันนี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในประเทศแต่เมื่อมองอีกนัยหนึ่งแล้วพบว่า  การแข่งขันที่รุนแรงนี้เองกลับเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ธุรกิจของญี่ปุ่นสามารถแข่งขันได้กับทุกประเทศ  แต่ธุรกิจที่กำลังจะ DOWN จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐในการให้ถอนตัวจากธุรกิจหรือปรับตัวไปสู่ธุรกิจใหม่ที่สดใสกว่า  อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจที่ต่างประเทศทำได้ดีกว่า รัฐจะไม่สนับสนุน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และเอาใจใส่ของรัฐบาลต่อบริษัทเอกชน

การลงทุนซื้อเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีที่ต้องการนั้น เราต้องแน่ใจก่อนว่าจะเข้ากับบริษัทเราและมีบุคลากรที่สามารถรองรับเทคโนโลยีเหล่านั้นได้  รวมไปถึงต้องพัฒนาสิ่งนั้นให้ดีและใช้งานได้รวมไปถึงการปรับปรุงแบบใหม่ ๆ ให้ออกมาเสมอ ๆ  ตัวอย่างในจีนที่ลงทุนกว้านซื้อเทคโนโลยีและเครื่องมือจากทั่วโลกมาแทนแรงงานคน ทั้ง ๆ ที่จีนมีประชากรมากอยู่แล้ว และไม่มี Skill เพียงพอที่จะใช้มัน ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้เครื่องจักรต่ำและของออกมาคุณภาพไม่ดี ( แต่ปัจจุบันกำลังดีขึ้น ) ดังนั้นการแข่งขันในตลาดโลก เราต้องมองถึงว่าคุณภาพที่สามารถทำได้ถึงระดับโลกนั้นเป็นเช่นไร แล้วปรับตัวเข้าหามันโดยมีการแข่งขันเป็นเชื้อเพลิงขับดันไปให้ถึงจุดนั้น  ซึ่งการแข่งขันนี้ในญี่ปุ่นมีมาอย่างช้านานแล้วเพื่อความอยู่รอด เนื่องจากแทบไม่มีทรัพยากรในประเทศเลยต้องนำเข้าเทคโนโลยีและวัตุดิบจากต่างประเทศเสมอ  การประหยัดและการ Recycle เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต  เช่นเดียวกันสำหรับ SONY การอยู่รอดเป็นสิ่งจำเป็น การลดการใช้เชื้อเพลิง การปรับปรุงการผลิต การทำของคุณภาพดีจากความรับผิดชอบของพนักงาน  รวมไปถึงการกระหายและต้องการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเลือกที่จะใช้การประยุกต์มากกว่าการคิดค้นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ทำให้ SONY สามารถอยู่รอดได้แม้ในภาวะวิกฤต  การปรับปรุงนี้ส่งผลไปถึงการอบรมซึ่งญี่ปุ่นเน้นทางด้านนี้มาก เพราะพนักงานเป็นปัจจัยหลักสำหรับการปรับปรุงให้สินค้ามีความทันสมัยเสมอเพื่อเป็นเจ้าตลาด โดยการนำเทคโนโลยีที่ดีและมีอนาคตมาปรับปรุงร่วมกันโดยยอมเสียค่า R&D ในสิ่งที่ไม่ Work ดีกว่าที่จะดั้นด้นผลิตมันออกมาแล้วเสียหายภายหลัง  ซึ่งการวิจัยนี้ในช่วงหลังมักจะเป็นการประชุมหรือวิจัยร่วมกัน แล้วต่างคนต่างนำไปผลิตเป็นสินค้าของตัวเอง

แน่นอนว่าเมื่อคุณจะทำธุรกิจระดับสากลแล้ว คุณจำเป็นต้องยอมรับความคิดที่เป็นสากลด้วย การที่เราจะทำงานร่วมกับคนอเมริกาหรือยุโรปที่เขาคิดว่าเขาเก่งที่สุดในโลกนั้น เราต้องปรับตัวให้ทันทั้งการปรับตัวด้านวัฒนธรรมที่ต้องออกความเห็นบ่อย ๆ การรับฟังความคิดคนอื่น การปรับปรุงการใช้ภาษาอังกฤษ รวมไปถึงการเตรียมทนายความเมื่อมีการฟ้องร้องเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำทั้งสิ้น  การที่ต้องยอมอ่อนต่อประเทศคู่ค้าและรับสินค้ามาขายบ้างเป็นเรื่องที่จำเป็น และแน่นอนความสัมพันธ์บางอย่างเพื่อความสำเร็จต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศด้วยเพราะการติดปัญหาด้านกฎหมายนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ  ซึ่งส่งผลให้เราต้องปรับตัวเอง ที่จะส่งออกอย่างเดียวซึ่งทำให้ประเทศคู่ค้าต้องเสียดุล เราต้องไปลงทุนหรือใช้วัตถุดิบในประเทศนั้นหรือรับของเขามาขายเป็นการตอบแทนบ้างแม้ว่าจะเป็นการเพิ่มรายจ่ายโดยไม่จำเป็นให้แก่เราเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของบริษัท  และการลงทุนในประเทศโลกที่ 3 ของ SONY เพื่อเป็นการยกระดับธุรกิจเขาซึ่งอาจเป็นลูกค้าหลักในอนาคตก็ได้

ใช่ว่าเมื่อคุณทำธุรกิจได้ดีแล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไป ปัจจัยบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้เช่นอัตราแลกเปลี่ยน สามารถทำให้บริษัทรุ่งหรือร่วงได้ในพริบตา เนื่องจากสมัยนี้มีการค้าเงินกันมากขึ้นทำให้การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนต่อวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากถึง 15 % ต่อวันเลยทีเดียว  รวมไปถึงกำแพงภาษีที่ไม่สามารถควบคุมได้  ผู้บริหารควรมองจุดนี้เผื่อไว้ด้วย  และแน่นอนว่าการทำธุรกิจในโลกนั้นเราต้องพูดมากขึ้นและปิดกั้นตัวเองให้น้อยลง นอกจากนี้ยังควรดูปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อเราด้วยโดยเฉพาะของคู่แข่ง  โดยเราต้องมองไปในอนาคตว่าอีก
10 – 20 ปีข้างหน้าผู้บริโภคต้องการอะไร และแน่นอนเราจะผลิตเท่าที่เราขายได้เท่านั้น

ความสำเร็จของโมริตะและ SONY นั้นเป็นการบอกถึงความพยายามที่บริษัทหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและความพยายามที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสินค้าที่โดนดูถูกว่าห่วยในสายตาของคนภายนอก มาเป็นสินค้าที่ดีในสายตาของคน ๆ นั้น โดยการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนำมันมาประยุกต์ใช้ในงานอุตสาหกรรม รวมไปถึงการเข้าใจถึงระบบการทำงานที่เป็นสากลเพื่อการขยายตัวสู่ตลาดโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าของที่ดีคือของที่ “ Made in Japan “

ขอบคุณบทความจากคุณก้องเกียรติครับ

ความประทับใจและไม่ประทับใจกับ Lenovo

ก่อนอื่นขอเกรินก่อนละกันนะครับ คือผมต้องการซื้อ Notebook Lenovo รุ่น 3000 V200 ในราคา 23900 ในตอนแรกที่เล็งไว้ อยู่ช่วงประมาณงาน Commart กรุงเทพฯ ไตรมาสสุดท้าย เพราะมันเบา สเปก ok และราคาพอรับได้ แต่ช่วงนั้นยังไม่ซื้อแต่ก็ติดตามราคา โปรโมชั่นและตรวจสอบคุณภาพของแบรด์ Lenovo ตลอด ซึ่งได้อ่านตามเว็บบอร์ดแล้วผู้ใช้ส่วนมากประทับใจกับ Lenovo Service มาก ผมก็มาเจอกับตัวเองนี้ละครับ ขอบอกว่าประทับใจมากเช่นกันครับ

ต่อมาวันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม 2551 ทาง Seller ของ Lenovo ประเทศไทยได้ลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับกีฬา ซึ่งลองโฆษณาไว้สามรุ่น ผมจำไม่ได้ว่าอีกสองรุ่นคืออะไร แต่มีรุ่น Y430 (59015829) ลงประกาศไว้ในราคา 24900 บาท ซึ่งจำได้แม่นว่าเป็นโปรโมชั่นของหนังเรื่องชิวาวา ผมสนใจรุ่นนี้มากๆ พอวันอาทิตย์ผมก็ไปเดินดูที่พันทิพย์เชียงใหม่ แต่.. ราคามันอยู่ที่ 26900 บาทและรุ่นที่ผมเล็งไว้ตอนแรกคือรุ่น 3000 V200 ราคาอยู่ที่ประมาณ 26900 มั่งครับ แต่บวก Vat แล้วและแถมประกันเพิ่มอีก 2 ปี จบวันนี้ด้วยการสืบราคา

ต่อมาวันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม 2551 ผมจึงได้โทรไปสอบถามราคาจริงๆที่ Call Center เบอร์ 001-8800-12-0665-200 (ดูจากเว็บครับ) ทางพี่ผู้หญิง Call Center ก็ให้เบอร์ (รู้สึกจะเบอร์นี้ก่อนนะครับ เหอๆ เบอร์เยอะมากครับ) 026421846-8 ผมโทรไปครั้งแรกที่เบอร์ 026421846 ไม่มีใครรับสาย รอประมาณ 5-10 นาทีโทรไปใหม่ที่เบอร์ 026421847 มีพี่ Seller คนหนึ่งรับสาย ซึ่งจากที่คุยกันที่นี้เป็นร้านขายคอมพิวเตอร์และ Notebook ในกรุงเทพฯ ซึ่งผมอยู่เชียงใหม่ไปซื้อไม่ได่อยู่แล้ว ผมก็เลยถามราคาและคุยคราวๆ ได้ความประมาณว่า ถึงแม้จะลงประกาศขายในหนังสือพิมพ์ราคา 24900 ก็จริงแต่หากร้านไม่ได้โปรโมชั่นนี้ก็ไม่สามารถจะขายราคานี้ได้ ผมก็โทรไปที่ Call Center อีกทีได้เบอร์ 026896400 มา โทรไปเบอร์นี้รู้สึกไม่มีใครรับสายครับ เลยโทรไปที่ Call Center อีกทีได้เบอร์น้องแอน 026896462 จะน้องยังไงทำงานแล้วก็พี่ผมอยู่ดีอะนะ เหอๆ ผมโทรไปไม่มีใครรับสายจึงวางสายไป แต่พอวางสายปั๊บพี่แอนก็โทรมาทันที และถามว่า “ใช่น้องสุทินไหม” ผมก็บอกว่าใช่ครับ “น้องสนใจ Notebook Lenovo รุ่น Y430 (59015829) ใช่ไหม” ผมก็ตอบไปว่าใช่ครับ “น้องอยู่ชียงใหม่ใช่ไหม เดียวพี่จะติดต่อไปอีกทีนะค่ะ” ผมตอบไปว่าครับๆ

เงียบไปประมาณ 20-30 นาทีตอนนั้นผมไปเอาเอกสารที่ร้านถ่ายเอกสาร กะลังจะขับรถออกมามีสายหนึ่งโทรมาถามชื่อ ที่อยู่ อีเมล ผมก็ตอบไปแล้วพี่เขาก็บอกว่าเดียวติดต่อมาอีกที อีกสักพักมีสายสายโทรมาถามชื่อเฉยๆ แล้วก็สอบถามข้อมูลว่าผมต้องการ Notebook รุ่นไหนอะไรยังไง ราคาไหน แล้วก็บอกว่าเดียวให้ Seller ที่เชียงใหม่ติดต่อมา
รออีกสักพักก็มี Seller เชียงใหม่ก็มา ซึ่งผมก็ย้ำแล้วนะครับว่ารุ่นนี้นะ ราคา 24900 นะครับ ok สรุปเข้าใจแบบนี้ ซึ่งพอคุยกันเสร็จผมก็บอกว่าผมจะซื้อภายในอาทิตย์นี้ละครับ ต้องบอกก่อนว่าร้านนี้คือร้าน A&A 368 อาคารหมู่บ้านเชียงใหม่แลนด์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ลงได้ไม่เป็นไรครับเพราะไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ ผมได้เข้าไปมัดจำวันพุธที่ 17 ธันวาคม 2551 จำนวนเงิน 5000 บาท ซึ่งผมก็บอกว่าจะเข้ามาเอาวันศุกร์ตอนเช้านะครับ ขอลง Windows XP SP3 นะครับ พี่เขาก็ ok ครับๆ ตกลงตามนั้น

พอมาถึงวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2551 ตอนที่ผมจะเข้าไปเอาเครื่องและจ่ายเงินนั้น พี่ช่างเขาบอกว่าเครื่องนี้มันลง XP ไม่ได้พี่ลองประมาณ 10 แผ่นลงไม่ได้สักแผ่น BlueScreen ตลอดเลย พี่เขาเลยลง Vista ตอนนั้นผมรู้ว่าเครื่องนี้ลง XP ไม่ได้นั้น หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตูม เพราะว่า Software ทั้งหมดของผมยังไม่รับรับ Vista และการปรับไปใช้ Vista โดยทันทีนั้นช่วงนี้ผมยังไม่พร้อม เนื่องจากงานผมเยอะมากๆ ช่วงนี้ผมยังไม่พร้อมที่จะไปใช้ Vista ขอบอกก่อนว่าผมใช้งานประเภทเขียนโปรแกรมและทำเว็บ(เว็บหลายประเภทนะครับ) ซึ่งพี่ช่างอีกคนก็บอกแนวทางในการแก้ปัญหาว่าให้ลง VMWare แล้วลง XP ไปคือต้องประยุกต์ใช้เอา ผมก็นั่งมองตากับน้องผม เหอ… ทำไงได้ละมัดจำไปแล้ว ก็จำเป็นต้องเอา แล้วทีนี้ต้องผมต้องไปเรียนก่อน ซึ่งต้องรูดบัตรก่อนก็เลยขอจ่ายเงินก่อน ปล่อยให้พี่ช่างลงโปรแกรมไป

แต่พอตอนจะจ่ายเงินผมดูราคา อ้าว.. ทำไมราคามันยังเป็นราคาเดิมอยู่ ผมเลยสอบถามที่ร้านไปแล้วก็บอกว่าผมตกลงกับ Lenovo ประเทศไทยไว้ว่าผมขอราคา 24900 นะครับ แล้วขอให้ร้านที่สามารถขายราคานี้ได้ติดต่อมาหาผม ซึ่งทางร้านนี้ก็ติดต่อมา พี่เขาก็บอกว่าพี่ขายราคานี้ไม่ได้เพราะพี่รับมา 25400 พี่ขายต่ำกว่าทุนไม่ได้จริงๆ สรุปคือการสื่อสารและด้วยความเข้าใจไม่ตรงกัน ผมจึงติดต่อไปที่ Lenovo ประเทศไทยอีกที เพราะให้ทาง Lenovo ประเทศไทยมาคุยว่าทำไมเขาถึงขายราคาที่ตกลงกันไว้ไม่ได้ ผมโทรไปที่คุณแอน 026896462 ซึ่งไม่มีใครรับสายเลย พยายามโทรหลายครั้งมากๆ แต่ก็ไม่มีใครรับสาย ผมจึงติดต่อไปที่พี่ Call Center เบอร์ 001-8800-12-0665-200 ซึ่งผมก็ได้เล่ารายละเอียดทุกๆอย่างให้พี่เขาฟังและขอความช่วยเหลือกับพี่เขา และพี่เขาก็รับปากว่าจะเดินเรื่องนี้ให้ ต้องขอขอบคุณพี่ Call Center จริงๆ ติดต่อกันไปมาโทรหากันอยู่หลายครั้งครับ คุยไปคุยมาทางร้านไม่สามรถขายให้ผมในราคา 24900 ได้จริงๆ เพราะเป็นราคาต่ำกว่าทุน ติดต่อไปที่คุณแอนก็ไม่ได้

จนถึงเที่ยงพี่ Call Center บอกว่าที่ Lenovo พักเที่ยงกันแล้ว ผมก็เลยขอตัวออกมาจากที่ร้านก่อนเขาไปประชุมที่ในมหาลัยแล้วก็ไปติวข้อสอบเพื่อนที่หอ ซึ่งก็มีการติดต่อกันกับพี่ Call Center ตลอด ซึ่งพี่เขาบอกว่าพี่เขาไม่สามารถช่วยเหลือหรือ Conform ราคามาทางร้านได้ เนื่องจากไม่มีอำนาจในการตัดสินใจแล้วพี่เขาก็อยู่ที่สิงคโปร์ด้วย ซึ่งตรงนี้ผมก็เข้าใจ แล้วพี่เขาก็ถามว่าไม่น่าจะวางมัดจำก่อนเลย น่าจะสอบถามราคาอะไรให้ดีๆก่อน ซึ่งตรงนี้ผมก็เข้าใจแต่ด้วยความเข้าใจไม่ตรงกันกับทางร้าน A&A ซึ่งหากผมซื้อผมต้องซื้อในราคา 28783 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 2140 บาท ประเด็นอยู่ที่ว่า
– ผมซึ่ง Notebook ผมไม่ค่อยสนใจยี่ห้อเท่าไรส่วนมากผมจะดูสเปกเป็นหลัก ซึ่งหากเพิ่มอีก 2140 ผมจะต้องทำการเทียบราคาและสเปกใหม่หมด
– อีกข้อคือเกินงบประมาณของผมคือ 27000 บาท
คือผมไม่สามารถซื้อในราคา 28783 ได้ ผมเครียดมากครับ ไม่รู้จะทำยังไงเพราะผมวางมัดจำไปแล้วด้วย 5000 บาท ตอนนั้นประมาณบ่ายสามแล้วครับ ไม่รู้จะเอายังไงจึงต้องโทรไปปรึกษากับพี่ที่ร้าน A&A โทรไปประมาณ 2 ครั้งโดนตัดสาย โอ้วว..พระเจ้า เครียดกว่าเดิม โดนลอยแพแล้วหรอเนี้ยย โทรไปอีกครั้ง พี่เขาบอกว่าเดียวโทรกลับ เหอๆ ค่อยยังชั่วแต่มันจะออกมาเป็นยังไงละนี้ เหอ..

วรรคสุดท้ายตอนจบ ยาวไปหน่อยแต่อยากเล่าครับ เหอๆ
สักพักพี่เขาโทรมาแล้วบอกว่าจะคืนเงินมัดจำให้ทั้งหมด แล้วขอโทษที่ไม่สามารถขายในราคานั้นได้ ขอโทษที่ทำให้ผมเสียเวลา ซึ่งผมก็ดีใจมากครับที่เขาให้คืนเงินมัดจำ พี่เขาบอกว่ามีเมลแจ้งจากทาง Lenovo มาจริงว่าให้ขายราคา 24900 แต่ไม่สามรถขายราคานั้นได้เพราะทาง Seller ของ Lenovo ไม่ยอมปล่อยของในราคานั้น พอได้เรื่องได้ราวแบบนี้ผมเลยโทรไปขอบคุณพี่ Call Center ที่เดินเรื่องทุกอย่างให้ แล้วพี่เขาก็บอกว่าจะโทรมาแจ้งอีกทีว่าทำไมทาง Seller ของ Lenovo ประเทศไทยถึงทำแบบนี้ ขายราคานั้นไม่ได้ทำไมถึงลงประกาศ จบด้วยความประทับใจกับพี่ Call Center ที่เป็นธุระเดินเรื่องให้ ต้องขอขอบคุณพี่ Call Center Lenovo มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ออกจาก A&A มาผมก็เลยต้องมาเดินดู Notebook ใหม่เพราะผมต้องใช้งานแล้ว รอไม่ได้แล้ว ตอนนี้สนใจ Acer Aspire 4930G-581G32Mn ราคา 25900 ที่ Icon เชียงใหม่และซิชาง อยู่ครับ เดียวจะออกไปซื้อแล้ว แล้วจะมาเขียนใน Blog ใหม่นะครับ

สรุปเรื่องนี้ผิดที่
1. Seller ของ Lenovo ประเทศไทยที่ไม่ยอมปล่อยของราคาโปรโมชั่นแต่ดันลงประกาศไว้
2. ความเข้าใจผิดของผมที่ไม่สอบถามเรื่องรายละเอียดราคากับร้าน A&A เพราะวันนั้นทาง Lenovo โทรมาหลายสายซึ่งผมก็เข้าใจว่าเขาแจ้งรายละเอียดกันหมดแล้ว
3. ทางร้าน A&A ซึ่งไม่เข้าใจว่าผมได้ติดต่อไว้ในราคานั้นแล้ว และทางร้านก็รับผิดชอบให้ทุกอย่าง

ต้องขอขอบคุณพี่ Call Center ร้าน A&A อีกครั้งที่เข้าใจเคสของผม เรื่องนี้ยาวไปหน่อยพิมพ์มาถึง 3 หน้า A4 แล้ว เอ่อลืมบอกไปอีกอย่าง ในวันที่เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ผมไม่สบายด้วย รู้สึกแย่มากๆครับ อยากพักผ่อนมาก.. กลับมาถึงหอ 19.00 อาบน้ำกินข้าวกินยา แล้วก็นอนประมาณ 20.00 น. หลับสนทตื่นอีกที 7.00 น. ฮ่าๆ หลับ 11 ชม. เลยหรอเนี้ยย เหอๆ นั่งพิมพ์บทความนี้อีกประมาณเกือบสองชม. ไปละครับหิวข้าว..

Bot วิ่งกระจาย

ไม่มีอะไรมากครับ แค่อยากเอารูปนี้โชว์เฉยๆ ครับ อิอิ forums.sutenm.com Bot วิ่งกระจาย

เช็คใบที่ 2 จาก Google

ครั้งนี้เช็คมาช้ากว่าปกติหน่อยครับ  ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะที่พันธมิตรปิดสนามบินไหม  ได้เช็คใบนี้มาประมาณวันที่ 12 ธันวาคม 2551 ครับ

ระบบช่วยค้นหาใน Google New! Future

วันนี้ตื่นมาค่อนข้างแปลกใจที่ตื่นมาเจอฟิวเจอร์ใหม่ที่ Google เปิดตัวนั้นคือระบบช่วยค้นหาใน Google ซึ่งปกติจะมีเฉพาะใน Google.com เท่านั้น แต่วันนี้ Future ดังกล่าวได้เข้ามาอยู่ใน Google.co.th เรียบร้อยแล้ววว!

นี้เป็นสัญญาณอะไรอย่างหนึ่งที่ Google กะลังจะบอก User และแน่นอนครับว่าอีกไม่นาน Google กะลังจะเปิดตัว Future อื่นๆ อีกมากมายตามมาแน่นอนครับ ข่าวแววๆ มาว่าจะเริ่มทะยอยเปิดตัวทีละอย่างๆ และประมาณเดือนมกราคม 2552 จะเปิดตัว Future อีกหลายตัวพร้อมๆ กัน ก็ต้องคอยดูละครับว่า Google กะลังจะเปิดตัว Future อะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือ ฟรี!

หมาฮีโร่ Hero Dog

เผอิญเข้าไปในเว็บ teenee.com เลือบไปเห็นข่าว “ชิลีตามหาหมาฮีโร่-ฝ่ารถเก็บซากเพื่อน” ประทับในหมาฮีโร่ผู้ไม่กลัวตาย วิ่งฝ่าดงรถยนต์เข้าไปช่วยลากศพเพื่อนที่ถูกรถชนกลางทางหลวงอีกตัวออกมา แล้วเจ้าหน้าที่ทางหลวงก็เข้ามากันรถ นำหมาทั้งสองตัวออกไป โดยมีกล้องวงจรปิดได้บันทึกภาพไว้ นักข่าวประเทศชิลีเลยนำมาเสนอข่าวแล้วหมาน้อยผู้นี้ก็ดังไปทั่วโลก

อ่านข่าวเสร็จตามหาคลิปที่ว่าทันที

เหอๆ ขนาดหมายังรักกันเลย… แล้วคนไทยไม่คิดจะรักกันมั่งเลยเหรอครับ

Google Translate พร้อมรองรับภาษาไทย! คนไทยเตรียมเฮ้..

จากที่ Google เปิดตัว Google Translate มาสักพักขณะนี้ Google พร้อมที่จะเปิดตัว Google Translate ที่รองรับภาษาไทยแล้ว! ได้ใช้งานในเดือนธันวาคมนี้แน่นนอน แต่.. บางท่านอาจจะยังไม่รู้จักว่า Google Translate คืออะไร เรามาทำความรู้จักก่อนดีกว่าครับ

Google Translate คือ(หมายถึง) โปรแกรมแปลภาษาโดยอ้างอิงสถิติในการแปล (ซึ่งสามารถแปลได้แบบข้อความและทั้งเว็บ) โดยปกติแล้วโปรแกรมส่วนใหญ่จะใช้แนวทางอ้างอิงกฎ และต้องใช้การนิยามคำศัพท์และไวยากรณ์จำนวนมากในการแปล แต่ทีมงาน Google ได้ทำการเพิ่มข้อมูลจำนวนมากให้กับโปรแกรมทั้งภาษาเดียวกันและภาษาปลายทาง และเพิ่มข้อความตัวอย่างการแปลที่แปลโดยมนุษย์ ซึ่งทางทีมงาน Google ได้ใช้เทคนิคเชิงสถิติ ให้โปรแกรมอ้างอิงหลักการ กลุ่มคำ ที่มนุษย์ได้ทำการแปลไว้ โดยทีมงาน Google ได้แจ้งไว้ว่าได้ผลลัพท์ที่ดีกว่าวิธีเดิม

ทั้งนี้หากต้องการแปลแบบพจนานุกรมก็สามารถทำได้ โดยเลือกที่ Dictionary แต่ขณะนี้รองรับเพียง 7 ภาษาคือ ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เกาหลี รัสเซีย และสเปน เท่านั้น

ปัจจุบัน Google Translate ได้รองรับภาษาถึง 22 ภาษาทั่วโลก คือภาษา ภาษาอาหรับ , ภาษาบัลกาเรีย , ภาษาจีน , ภาษาโครเอเชีย , ภาษาเช็ก , ภาษาเดนมาร์ก , ภาษาดัตช์ , ภาษาฟินแลนด์ , ภาษาฝรั่งเศส , ภาษาเยอรมัน , ภาษากรีก , ภาษาฮินดู , ภาษาอิตาลี , ภาษาเกาหลี , ภาษาญี่ปุ่น , ภาษานอร์เวย์ , ภาษาโปแลนด์ , ภาษาโรมาเนีย , ภาษารัสเซีย , ภาษาสเปน , ภาษาสวีเดน , ภาษาโปรตุเกส และกำลังจะรองรับภาษาไทยในเดือนธันวาคมนี้แน่นอน

สำหรับการใช้งานนั้นสามารถเข้าใช้งานได้ที่ http://translate.google.com/ หรือ Webmaster ท่านใดต้องการนำ Code นี้ไปใช้งานสามารถใส่เมตาแท็กต่อไปนี้ในไฟล์ HTML ของคุณได้

<meta name=”google” value=”notranslate”>

หรือเข้าไปที่ http://translate.google.com/translate_tools?hl=en จากนั้นเลือกภาษาต้นทาง